คดีหมายเลขดำที่ : ช.7/2555 วันที่ฟ้อง : 06/09/2555
โจทก์ : พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 2
ผู้เสียชีวิต : นายฐานุทัศน์ อัศวสิริมั่นคง
คดี : ชันสูตรพลิกศพ
นัดสืบพยานวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2556
พยาน
- พ.ต.อ.สืบศักดิ์ พันธุ์สุระ พนักงานสอบสวน สน.บางรัก
- นางกังสดาล โรสเรส เจ้าหน้าที่เวชระเบียนหน้าห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท
- น.ส. วิภาวดี ทะนงค์ พยาบาลห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท
- ร.ต.อ.สุทิน ซ้อนรัม พนักงานสอบสวน สน.บางรัก
- พ.ต.ท.ยุต ทองอยู่ พนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี
นางกัลย์สุดา โรสเรส เบิกความว่าวันที่ 14 พ.ค. 53 เวลา 13.06 น. เจ้าหน้าที่มูลนิธิ(เธอจำชื่อมูลนิธิไม่ได้) นำตัวนายฐานุทัศน์มาส่งที่โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่านายฐานุทัศน์เป็นผู้ชุมนุมเสื้อแดงได้รับบาดเจ็บจากการถูกยิงจากบ่อนไก่ ขณะที่รับตัวนั้นนายฐานุทัศน์ไม่รู้สึกตัวจึงไม่สามารถถามชื่อเพื่อทำประวัตินายฐานุทัศน์เจ้าหน้าที่ได้นำบัตรประชาชนนายฐานุทัศน์จากกระเป๋ากางเกงให้ เธอได้ทำประวัติและนำเวชระเบียนส่งให้ห้องฉุกเฉิน
ในวันที่ 14 พ.ค. ยังมีผู้บาดเจ็บอีกหลายราย และได้รับตัวผู้บาดเจ็บตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน – 19 พฤษภาคม 2553 โดยในช่วงนี้มีทั้งผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต ส่วนเจ้าหน้าที่ที่ส่งตัวนายฐานุทัศน์มานั้นเธอไม่ทราบว่าเป็นใครเนื่องจากโรงพยาบาลขณะนั้นวุ่นวายมาก มีผู้บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก เธอไม่ได้เป็นคนแจ้งญาติของนายฐานุทัศน์และไม่ทราบว่าใครเป็นผู้แจ้ง แต่คาดว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่แผนกฉุกเฉินเป็นผู้แจ้ง
ช่วงทนายซักถามพยาน เธอตอบคำถามของทนายว่าไม่ทราบสภาพการบาดเจ็บของนายฐานุทัศน์เนื่องจากไม่ได้ดู แต่ทราบว่าถูกยิงจากการสอบถามนายฐานุทัศน์ และในวันนั้นยังมีผู้เสียชีวิต 2 ราย บาดเจ็บอีก 7 ราย จากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองแต่เธอจำไม่ได้ว่าถูกนำตัวมาจากที่ใดบ้าง โดยสาเหตุส่วนใหญ่มาจากการถูกยิง ผู้เสียชีวิตทั้ง 2 ราย เสียชีวิตจากการถูกยิง
น.ส.วิภาวดี ทะนงค์ เบิกความว่า วันที่ 14 พ.ค. 53 เวลา 13.06 น. ขณะนั้นเธอทำหน้าที่พยาบาลในห้องฉุกเฉินมีเจ้าหน้าที่มูลนิธิ(เธอจำไม่ได้เช่นกว่ามูลนิธิใด) นำนายฐานุทัศน์มาที่ห้องฉุกเฉิน เธอได้ทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นพบบาดแผลเป็นรูคล้ายกระสุนยิงที่หลังด้านซ้ายมีเลือดออกจากบาดแผล หลังจากนั้นแพทย์ได้เข้ามารับช่วงต่อ จากนั้นได้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลกล้วยน้ำไทตั้งแต่ 14 พ.ค.- 4 มิ.ย. 53 จึงได้ย้ายไปโรงพยาบาลมเหสักข์
เธอไม่ทราบว่าเจ้าหน้าที่มูลนิธิที่มาส่งชื่ออะไร และเขาไม่ได้ใส่เครื่องแบบ ในวันนั้นมีคนไข้เข้ามามาก เธอไม่ได้เป็นผู้แจ้งญาติและไม่ทราบว่าใครเป็นผู้แจ้ง และเธอได้มอบบันทึกผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตให้พนักงานสอบสวน
เบิกความว่ามีหน้าที่สืบสวนตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา เขาถูกแต่งตั้งให้เป็นพนักงานสอบสวนของ บก.น. 6 ตามคำสั่งที่ 45/2555 มีหน้าที่ประสานงงานกับพยานที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ 26 ก.พ. 55 นางวรานิษฐ์ อัศวสิริมั่นคงได้แจ้งว่านายฐานุทัศน์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 23 ก.พ. 55 ที่โรงพยาบาลมเหสักข์ เขาจึงได้ถูกแต่งตั้งเข้ามาทำหน้าที่ และเข้ายังเบิกความว่าสาเหตุการเสียชีวิตจากการถูกกระสุนในเหตุการณืชุมนุมเมื่อ เม.ย.-พ.ค. 53 โดยถูกยิงที่ป้ายรถประจำทางหน้าธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาลุมพินี
เขาเป็นผู้ถอดเทปการสัมภาษณ์นายฐานุทัศน์ก่อนเสียชีวิตซึ่งผู้สัมภาษณ์คือนายอุเชนทร์ เชียงเสนและน.ส. อัจฉรา อิงคามระธรเมื่อวันที่ 21 ก.พ. 54 เวลา 14.00 น. เศษ ที่บ้านของนายฐานุทัศน์(มีการเปิดคลิปสัมภาษณ์ ตั้งแต่นาทีที่ 7.42) และเขายืนยันว่าคลิปไม่มีการตัดต่อ
ช่วงทนายซักถามเขาได้ให้การเพิ่มว่านอกจากคลิปสัมภาษณ์ดังกล่าวแล้วคลิปหลักฐานอื่นๆ ที่อยู่ในแผ่นดีวีดีที่มอบให้แก่ศาลนั้นไม่มีการตัดต่อเช่นกัน และการถอดเทปสัมภาษณ์เป็นการถอดแบบคำต่อคำไม่ได้เป็นการสรุปใจความ
พ.ต.ท. ยุต ทองอยู่ เบิกความว่า วันที่ 26 มิ.ย. 53 เวลา 18.00 น. เศษ ขณะนั้นเขาเป็นร้อยเวรสอบสวนคดีอาญา นางวรานิษฐ์ อัศวสิริมั่นคงได้มาแจ้งความว่าสามีของเธอถูกยิงบริเวณไขสันหลัง ผ่านปอดขวาและฝังที่สบักขวา ที่ป้ายรถประจำทางหน้าธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาลุมพินี ติดกับโรงรับจำนำน่ำเลี้ยง เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 53 เวลา 12.00 น.เศษ แตวันนั้นยังไม่ได้มีการลงบันทึกประจำวันไว้เพราะว่ามืดแล้ว แต่วันนั้นได้ไปที่จุดเกิดเหตุกับนางวรานิษฐ์เพื่อถ่ายรูปและทำแผนที่จุดเกิดเหตุ และได้มีการสอบปากคำด้วย
จากการสอบปากคำได้ความว่าก่อนเกิดเหตุนายฐานุทัศน์เป็นมะเร็งถุงน้ำดีและอยู่ในระหว่างรักษาตัว ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือนายฐานุทัศน์ถูกยิงที่ป้ายรถประจำทางหน้าธนาคารไทยพาณิชย์สาขาลุมพินี ในวันที่ 14 พ.ค. 53 เวลา 12.00 น. เศษ ระหว่างรอรถประจำทางอยู่นั้นมีคนขับจักรยานยนต์มาบอกว่าข้างหน้ามีการปะทะอยู่ นายฐานุทัศน์ได้ให้ครอบครัวแยกไป ส่วนตัวนายฐานุทัศน์เองซึ่งยังอยู่ที่เดิมและถูกยิงล้มลง ต่อจากนั้นในวันที่ 29 มิ.ย. 53 จึงได้มีการลงบันทึกประจำวันไว้ ในข้อหาพยายามฆ่า
เขาได้สอบปากคำนายฐานุทัศน์เมื่อวันที่ 2 ก.ค. 53 ที่โรงพยาบาลมเหสักข์ในตอนนั้นนายฐานุทัศน์ยังสามารถพูดคุยได้และให้การว่าตนถูกยิงเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 53 เวลา 12.00 น. ที่ป้ายรถประจำทางหน้าธนาคารไทยพาณิชย์สาขาลุมพินี ได้มีคนขับรถจักรยานยนต์มาบอกว่ามีการปะทะที่สะพานไทย-เบลเยี่ยมและมีทหารอยู่ โดยนายฐานุทัศน์และภรรยาก็เห็นว่ามีทหารอยู่ จากนั้นมีเสียงดังขึ้นแต่ไม่ทราบว่าเสียงอะไร ตัวเขาเกิดอาการชาและได้มีคนนำเขาส่งโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท เขาไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ยิง
เขาได้ส่งสำนวนสอบสวนให้กับ DSI เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 53 เพราะได้มีคำสั่ง(เขาจำไม่ได้ว่าศอฉ.หรือใครเป็นผู้สั่ง) ว่าให้ส่งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมให้กับ DSI ส่วนตัวเขาเองไม่ได้มีความเห็นใดๆ ต่อสำนวนการสอบสวน เขาไม่ทราบว่านายฐานุทัศน์เสียชีวิตเมื่อใด แต่เขาได้รับแจ้งจาก สน.บางรักว่าเสียชีวิตเมื่อ 25 ก.พ. 55 และทางสน.บางรักได้พาเขาไปตรวจที่เกิดเหตุอีกครั้ง และได้มีการถ่ายภาพและทำแผนที่ไว้
ทนายได้ซักถามเขาว่ารับราชการที่ สน.ลุมพินีตั้งแต่เมื่อใดและช่วงเหตุการณ์ทราบหรือไม่ว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไรบ้าง เขาได้ตอบว่าเขาอยู่ที่สน.ลุมพินี 10 กว่าปี แต่ในช่วงเหตุการณ์นั้นเขาอยู่แต่ในโรงพักจึงไม่ได้ทราบว่าเกิดเหตุการณ์ใดๆ ขึ้นบ้าง จากการสอบสวนนายฐานุทัศน์ถูกยิงขณะหันหน้าเข้าไปทางธนาคารและหันหลังให้กับถนน
นัดสืบพยานวันที่ 7 กุมภาพันธ์
พยาน
- นายอุเชนทร์ เชียงเสน นักศึกษา ปริญญาโท สาขาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- นางสาวอัจฉรา อิงคามระธร อาสาสมัครของศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม เม.ย.-พ.ค. 53 (ศปช.)
- นายเอกสิทธิ์ วงศ์คำมา ช่างทาสี
พยานปากแรก นายอุเชนทร์ เชียงเสน เป็นนักศึกษา ปริญญาโท สาขาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พยานเบิกความ พยานเบิกความว่า พยานได้พักอาศัยอยู่ที่ชั้น 30 อาคารลุมพินีพาร์ควิว คอนโดมิเนียม ติดถนนพระราม 4 เยื้องกับสนามมวยลุมพินี ในวันเกิดเหตุ 14 พ.ค. 53 เวลาประมาณ 12.00 น. พยานได้ยินเสียงปืนด้านหน้าอาคาร (ถ.พระราม 4) และเสียงเอะอะโวยวาย จึงได้หยิบกล้องถ่ายรูปออกมาที่ระเบียงห้องพัก (ด้าน ถ.พระราม 4) มองลงไปหน้าอาคารและบนถนนเห็นทหารพร้อมอาวุธปืนจึงได้ถ่ายรูปเอาไว้
หลังจากนั้นประมาณ 5 นาที พยานได้ยินเสียงประกาศผ่านโทรโข่งของทหาร พร้อมเล็งอาวุธมายังพยานว่า “ผู้พักอาศัย ให้หลบเข้าไปด้านใน ไม่อย่างนั้นจะถือว่าท่านเป็นผู้ไม่ประสงค์ดี” จึงรู้สึกกลัวและหลบเข้าไปในห้องพัก แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นและเก็บบันทึกภาพไว้ จากนั้นเขาลงไปด้านล่างหน้าอาคาร ตรงถนนพระราม 4 พบเจ้าหน้าที่ทหารพร้อมอาวุธปืนประมาณ 40 -50 คน ยืนเป็นแถวอยู่บนถนนพระราม 4 และอีกประมาณ 20-30 คน อยู่บนสะพานไทย-เบลเยี่ยม จึงได้ถ่ายภาพไว้
จากนั้นทหารที่อยู่บนถนนพระราม 4 ได้เดินมุ่งหน้าไปทางฝั่งคลองเตย และยิงอาวุธปืนใส่ประชาชนที่กระจายอยู่บริเวณปั้ม ปตท. และใต้สะพานลอยบ่อนไก่ (ใกล้ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาลุมพินี) และเห็นกลุ่มควันออกจากกระบอกปืนของทหารด้วย โดยพยานได้เดินถ่ายรูปตามหลังทหารมาถึงบริเวณปั้ม ปตท. เมื่อเคลียร์พื้นที่เสร็จแล้ว คือ ประชาชนวิ่งกระจัดกระจายออกไป ทหารจึงถอยมาตั้งฐานบริเวณด้านหน้าอาคารลุมพินีพาร์ควิว
ในระหว่างนั้นพยาน ไม่ทราบว่ามีประชาชนผู้ได้รับบาดเจ็บหรือไม่ เพราะพยานถ่ายรูปอยู่ด้านหลังทหาร ขณะที่ฝั่งประชาชนได้ยิงหนังสติ๊กและจุดพลุตะไลเข้าใส่กลุ่มเจ้าหน้าที่ทหารเพื่อตอบโต้เท่านั้น เมื่อถูกซักว่าอาวุธที่ทหารใช้นั้นเป็นอาวุธชนิดใด พยานเบิกความว่า เป็นอาวุธM 16 และปืนลูกซองยาว ที่ระบุได้เนื่องจากเคยเห็นมาบ้างจากรูปในอินเตอร์เน็ทและนิตยสารต่างๆ ดังปรากฏในรูปซึ่งได้มอบรูปทั้งหมดให้กับพนักงานสอบสวนแล้ว
หลังจากเหตุการณ์พยานได้เป็นอาสาสมัครของศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณีเหตุการณ์เมษายน-พฤษภาคม 2553 หรือ ศปช. ซึ่งเป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นเพื่อค้นหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ ภายหลังเหตุการณ์พยานซึ่งเป็นอาสาสมัครร่วมกับนางสาวอัจฉรา อิงคามระธร ได้ทราบข่าวว่ามีผู้บาดเจ็บ ซึ่งทราบชื่อในภายหลังว่า คือ นายฐานุทัศน์ อัศวศิริมั่นคง ได้รับบาดเจ็บและนอนรักษาตัวอยู่ที่แฟลตบ่อนไก่ จึงได้เดินทางไปเยี่ยมและถ่ายคลิปวีดีโอสัมภาษณ์ไว้ในวันที่ 21 กุมภาพันธุ์ 2554 และได้มอบให้กับพนักงานสอบสวน
โดยนายฐานุทัศน์ เล่าให้ฟังว่า เวลาประมาณ 12.00 น. เศษ ตนได้ยืนอยู่ที่ป้ายรถประจำทางบ่อนไก่ (ใกล้สะพานลอย และธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาลุมพินี) เห็นทหารยิงแก๊สน้ำตามา และหลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น จึงหันหลังวิ่งหนี และล้มคว่ำลงหน้ากระแทกพื้น (ตามคลิปเวลา 7.40-8.50) และยังได้เล่าให้ฟังว่า หลังจากถูกยิงแล้วได้มีชาวบ้านในบริเวณใกล้เคียง อุ้มไปขึ้นรถตู้ตำรวจเพื่อนำส่งโรงพยาบาล
ทนายได้ซักพยานเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์ พยานได้เบิกความว่า พยานทราบว่าการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2553 โดยมีพื้นที่การชุมนุมมาถึงบริเวณหน้าโรงพยาบาลจุฬาฯ ตรงแยกศาลาแดง ต่อมาเมื่อวันที่ 19 เม.ย.53 มีทหารและตำรวจเข้ามาตั้งอยู่บนถนนสีลม ฝั่งตรงกันข้าม และในอีกวันถัดมาผู้ชุมนุมก็ได้ตั้งรั้วเครื่องกีดขวางบริเวณแยกศาลาแดง แต่ก่อนเหตุการณ์ถึงวันที่ 13 พ.ค.53 การเดินทาง สัญจรไปมาสามารถทำได้ตามปกติ และมีเพียงด่านตรวจตำรวจที่หน้าตึกอื้อจือเหลียงในตอนกลางคืนเท่านั้น
สำหรับพื้นที่หน้าอาคารที่พักของพยาน ตรงถนนพระราม 4 และแถวบ่อนไก่ ไม่ได้เป็นพื้นที่ชุมนุม มีรถยนต์วิ่งผ่าน และประชาชนที่อยู่บริเวณนั้นก็ใช้ชีวิตกันอย่างปกติ ในวันเกิดเหตุ 14 พ.ค.53 เวลาตอนเช้า พยานตื่น 9.00 น. เศษ ได้ยินเสียงปืนประปรายดังมาเป็นระยะจากด้านสวนลุมพินี แต่ไม่สามารถมองเห็นเหตุการณ์ได้ ส่วนบริเวณถนนพระราม 4 หน้าอาคารที่พัก ยังมีผู้คนและยานพาหนะสัญจรไปมาได้ แต่มีจำนวนน้อย ก่อนเกิดเหตุประชาชนแถวนั้นก็ยังใช้ชีวิตแบบปกติ
พยานเบิกความเพิ่มว่า จากรูปถ่ายจากบนอาคารนั้น ในช่วงเกิดเหตุ เวลาประมาณ 12.00 น. มีประชาชนซึ่งเข้าใจว่าส่วนหนึ่งเป็นผู้ชุมนุมหลบมาหนีทหารมาจากแยกวิทยุ และไปจับกลุ่มที่บริเวณปั๊ม ปตท.และบริเวณสะพานลอยบ่อนไก่
สาเหตุที่พยานกล้าที่จะเดินถ่ายรูปหลังแนวทหาร เพราะว่ามีเพียงการยิงหนังสติ๊กมาตกที่พื้นประปรายเท่านั้นในช่วงแรกที่พยานได้ลงจากอาคาร จึงเห็นว่าไม่มีอันตรายร้ายแรง ทำให้พยานและนักข่าวคนอื่นๆ กล้าที่จะเดินถ่ายรูปตามหลังแนวทหารขณะปฏิบัติการได้ และไม่เห็นทหารได้รับบาดเจ็บจากการถูกยิง
รูปบางส่วนที่ใช้ในการไต่สวนจากนายอุเชนทร์(เรียงตามลำดับการถ่าย) เป็นภาพถ่ายที่เขาถ่ายจากชั้น 30 ของคอนโดลุมพินีปาร์ควิว จะเห็นลักษณะการวางกำลังทหารเพื่อทำการปิดล้อมพื้นที่แยกราชประสงค์ทางด้านถ.พระราม 4 เชิงสะพานไทย-เบลเยี่ยมในช่วงเที่ยงของวันที่ 14 พ.ค. 53 วันที่ 2 ของปฏิบัติการปิดล้อมแยกราชประสงค์ต่อเนื่องจากคืนวันที่ 13 ซึ่งเขาได้นำภาพเหล่านี้มอบให้แก้พนักงานสอบสวนเพื่อประกอบคำให้การ และได้มีการเปิดภาพถ่ายเหล่านี้ในการไต่สวนของศาลด้วย
พยานปากที่สอง นางสาวอัจฉรา อิงคามระธร เบิกความว่า พยานเป็นอาสาสมัครของศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม เม.ย.-พ.ค. 53 (ศปช.) โดยพยานมีหน้าที่รวบรวมข้อมูลผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากเหตุการณ์
เดือนมิ.ย.53 เธอทราบว่านายฐานุทัศน์ อัศวสิริมั่นคง ถูกยิงได้รับบาดเจ็บเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 53 บริเวณบ่อนไก่ พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลมเหสักข์ พยานจึงไปสอบถามอาการบาดเจ็บขณะนั้น ต่อมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 54 พยานและนายอุเชนทร์ เชียงเสน ได้ไปสัมภาษณ์นายฐานุทัศน์และภรรยาคือนางวรานิษฐ์ อัศวสิริมั่นคง ที่บ้านเพื่อเก็บข้อมูลวันที่เกิดเหตุถูกยิงจนได้รับบาดเจ็บ พร้อมทั้งได้บันทึกเป็นวิดีโอเทปความยาวประมาณ 50 นาที ซึ่งได้มอบให้กับพนักงานสอบสวนไปแล้วนั้น
ในวิดิโอเทปนายฐานุทัศน์ได้เล่าว่า วันเกิดเหตุประมาณ 12.00 น.เศษ ผู้ตายอยู่บริเวณป้ายรถโดยสารประจำทาง หน้าร้านค้าสะดวกซื้อเซเว่นเอเลฟเวนใกล้ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาลุมพินี ได้เห็นทหารยิงแก็สน้ำตามา แต่ลมพัดกลับไปทำให้ทหารหยุดยิง สักพักมีเสียงปืนผู้ตายจึงบอกให้ภรรยาและบุตรหลบเข้าไปที่ร้านเซเว่นเอเลฟเวน ก่อนที่ผู้ตายจะตามเข้าไปแต่ล้มลงหน้ากระแทกพื้นเสียก่อนเพราะถูกกระสุนเข้าด้านหลัง ต่อมามีคนมาช่วยพาผู้ตายขึ้นรถตู้สีขาวของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อนำส่งโรงพยาบาล
นอกจากนี้พยานได้มอบคลิปวิดีโอเหตุการณ์ ซึ่งเป็นภาพถ่ายมุมสูงจากอาคารลุมพินีทาวเวอร์ (ตรงข้ามซ.บ่อนไก่ ซึ่งห่างจากจุเกิดเหตุประมาณ 20 ม.) โดยคลิปมีความยาวประมาณ 5 นาที 10 วินาที
ในคลิปวิดีโอดังกล่าว ปรากฎภาพนายฐานุทัศน์สวมเสื้อสีเขียว กางเกงสีน้ำเงินกรมท่าขณะที่มีประชาชนช่วยกันนำร่างขึ้นรถตู้สีขาวของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งวิดีโอดังกล่าวพยานได้มาจากอินเตอร์เนต จึงมอบให้กับพนักงานสอบสวนด้วย
พยานปากที่สามนายเอกสิทธิ์ วงศ์คำมา เบิกความว่า เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 53 ก่อนเกิดเหตุการณื ในเวลาประมาณ 9.00 น. เขาทำงานทาสีบ้านของนายสุทธิเดช จิราธิวัฒน์ ในสาทร ซอย 1 แยกวิทยุ แล้วใน เวลา 11.00 น. เจ้าของบ้านได้แจ้งให้เขากลับบ้านเนื่องจากมีทหารเคลื่อนกำลังมาที่สะพานไทย-เบลเยี่ยม เขาจึงออกมาทางสาทร ซอย 1 โดยเดินไปตามฟุตปาธจนถึงสี่แยกวิทยุ แล้วเขาได้ข้ามไปฝั่งสนามมวยลุมพินีแล้วเดินโดยมุ่งหน้าไปทางคลองเตยเพื่อกลับบ้าน
ระหว่างที่เดินอยู่นั้นเขาเห็นทหารราว 20 นาย บนถนนพระราม 4 เชิงสะพานไทย-เบลเยี่ยม โดยมี 4-5 คน นั่งประทับปืนเล็งปืนมาทางเขา และมีอีก 10 คนยืนอยู่ โดยทหารทั้งหมดนี้มีปืนยาวทุกคน และมีอีก 4-5 นายอยู่ที่มุมตึกใกล้กับสถานี MRT ลุมพินีด้วย เขาเดินผ่านปั๊มปตท. บ่อนไก่ และเดินผ่านซอยปลูกจิตซึ่งอยู่ใกล้กับปั๊ม และหยุดเดินที่ป้ายรถประจำทางซึ่งอยู่ด้นหน้าของธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาลุมพินี โดยในบริเวณนั้นมีสะพานลอยคนข้ามและเซเว่นเอเลฟเวนอยู่ใกล้ๆ ด้วย
เวลาประมาณ 11.30 น. เขาเห็นประชาชนและกลุ่มจักรยานยนต์อยู่ใต้สะพานลอยคนข้ามราว 30-40 คน มุงดูทหารที่อยู่บริเวณสะพานไทย-เบลเยี่ยม จุดที่เขาอยู่นั้นห่างจากสะพานราว 300-400 เมตร ขณะอยู่บริเวณนั้นเขาได้เห็นรถดับเพลิงสีแดงขับออกมาจากซอยปลูกจิตและจอดอยู่บนถนนพระราม 4 โดยหน้ารถหันไปทางแยกวิทยุ จากนั้นได้มีเสียงรถจักรยานยนต์ล้มลง 1-2 คัน เขาจึงหันมองเห็นคนกำลังพยุงรถขึ้น และได้เห็นนายฐานุทัศน์ล้มคว่ำลงกับพื้นถนนพระราม 4 บนช่องทางจราจรที่ 2 นับจากฟุตปาธห่างจากตัวเขาไปราว 10 เมตรเวลาในขณะนั้นราว 12.00 น. เศษ เขาจึงได้เข้าไปช่วยแต่เขาไม่ทราบว่าถูกอะไร ขณะช่วยเหลือเขาเห็นเลือดไหลออกจากปากหยดลงบนพื้นถนนฟันหน้าของนายฐานุทัศน์หัก 1 ซี่ และเห็นรูบนเสื้อกลางหลังและมีเลือดออกมาด้วย เขาได้เรียกคนในบริเวณนั้นให้เข้ามาช่วยกันอุ้มออกไป เขาได้พานายฐานุทัศน์ไปขึ้นรถตู้สีขาวของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เขาทราบจากที่ข้างรถมีตราสำนักงานตำรวจแห่งชาติติดอยู่และบนรถยังมีเจ้าหน้าที่ใส่เสื้อยืดคอกลมสีขาว กางเกงสีกากี ราว 10 คน เพื่อให้ไปส่งโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท
นายเอกสิทธิ์ คิดว่านายฐานุทัศน์ถูกยิงจากทหารเนื่องจากมีทหารกระชับพื้นที่อยู่ในบริเวณนั้น ในวันนั้นนายฐานุทัศน์ใส่เสื้อสีเขียว แต่จำกางเกงกับรองเท้าไม่ได้ ส่วนตัวเขาใส่เสื้อยืดสีครีม กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ สะพายเป้ลายทหาร ขณะเกิดเหตุการณ์เขาเห็นเพียงนายฐานุทัศน์ได้รับบาดเจ็บคนเดียว และได้ยินเสียงปืนดังเป้นระยะจากทหารที่อยู่บริเวณสะพานไทย-เบลเยี่ยมก่อนที่นายฐานุทัศน์จะถูกยิง
ช่วงทนายซักถามได้ถามรายละเอียดเพิ่มเติมในช่วงเช้าได้ความว่า วันนั้นนายเอกสิทธิ์นั่งรถประจำทางไปทำงานที่สาทร ซอย 1 ในเวลา 8.00 น. โดยนั่งรถไปทางถนนพระราม 4 โดยมาจากทางด้านคลองเตยมุ่งหน้าไปทางศาลาแดง แล้วลงรถที่ย่านบ่อนไก่แล้วเดินต่อจากบ่อนไก่ไปเข้าสาทร ซอย 1 ซึ่งในตอนนั้นรถยังผ่านไปมาได้ จากนั้นทนายได้ถามต่อถึงหลังจากเขาเลิกงานขณะที่เขาเลิกงานออกมาแล้วเดินจากสาทรซอย 1 ไปทางบ่อนไก่สภาพเป็นอย่างไร เขาบอกว่าเห็นทหารอยู่ที่มุมตึกเยื้องสนามมวยลุมพินี เวลานั้นร้านค้ายังค้าขายกันตามปกติ ยังมีคนเดินตามทางเดียวกับเขาไปทางบ่อนไก่ด้วยเช่นกัน แต่รถที่ขับมาตามถนนมุ่งหน้าไปทางศาลาแดงนั้นไปต่อไม่ได้แล้วเพราะมีแนวทหารขวางถนนอยู่ ส่วนจำนวนทหารเขาไม่ได้สังเกตมากนัก แต่เขาเห็นทหารราว 20 คน อยู่ตามมุมตึก 4-5 คน และอยู่บนถนนราว 15 คน
ในขณะที่เขาเดินอยู่นั้นเมื่อเดินมาถึงหน้าสนามมวยลุมพินี ฝั่งตรงกันข้ามบริเวณซอยงามดูพลี เขาเห็นมีคนกำลังใช้หนังสติ๊กกยิงไปทางทหารตอนนั้นเขายังไม่เห็นว่ามีอาวุธอย่างอื่น และเมื่อเขาเดินไปถึงสะพานลอยหน้าปากซอยปลูกจิต เขาเห็นคนเดิมกำลังเอาขวดน้ำมันปาไปทางทหารที่อยู่บริเวณสะพานไทย-เบลเยี่ยมได้ เพราะไปได้ไกลแค่ประมาณ 10 เมตร ซึ่งไปไม่ถึงทหารและไม่สามารถทำอันตรายได้ เพราะเมื่อตกถึงพื้นก็เป็นเพียงเปลวไฟขึ้นมาวูบหนึ่ง และคนๆ นั้นก็อยู่ห่างจากจุดที่นายฐานุทัศน์ถูกยิงมาก
ตอนที่เขาอยู่ที่สะพานลอยคนข้ามในขณะนั้นเขาได้หันหน้าไปทางทหารเห็นทหารยืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่แต่ไม่เคลื่อนที่ เมื่อมีเสียงรถล้มเขาหันหลังกลับเห็นคนพยุงรถและเห็นนายฐานุทัศน์ล้มอยู่ ก่อนที่เขาจะเห็นายฐานุทัศน์ล้มเขาได้ยินเสียงปืนจากทิศที่ทหารอยู่เท่านั้น ส่วนประชาชนที่อยู่ใกล้กันกับเขาไม่เห็นว่ามีปืนนายฐานุทัศน์เองก็ไม่มี หลังพานายฐานุทัศน์ไปส่งที่รถเขาไม่ได้ขึ้นรถไปด้วยเนื่องจากรถไม่มีที่ให้ขึ้นแล้ว จากนั้นเขาจึงได้เดินทางกลับบ้านโดยเดินต่อไปทางคลองเตย
นัดสืบพยานวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2556
เมื่อวันที่ 7 ก.พ. 56 ได้มีเจ้าหน้าที่ทหารจากกรมพระธรรมนูญทหารมาสังเกตการณ์ในวันนี้ซึ่งเป็นการสืบพยานนัดที่สอง(นัดแรกวันที่ 6 ก.พ. ยังไม่มีเจ้าหน้าที่พระธรรมนูญเข้ามาสังเกตการณ์การไต่สวน) ขอดูสำนวนคดีกับอัยการที่ดูแลการไต่สวนชันสูตรพลิกศพนายฐานทัศน์ อัศวสิริมั่นคง แล้วไม่พบว่ามีพยานจากทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ทหารอยู่ในสำนวน ต่อมา ทราบจากทนายญาติผู้ตายว่า ฝ่ายทหารจะทำหนังสือถึงศาลร้องขอให้มีการเรียกพยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทหารมาเบิกความ
ทั้งนี้ทนายกล่าวอีกว่าในสำนวนการไต่สวนนี้ในช่วงที่สำนวนยังอยู่ในขั้นตอนสืบสวนสอบสวนของพนักงานสอบสวน สน.บางรัก ทางเจ้าพนักงานสอบสวนได้ทำหนังสือส่งให้กับทางฝ่ายทหารเพื่อเรียกพยานมาให้การในการสอบสวนแล้ว แต่ไม่มีการตอบรับกลับมา ซึ่งทางพนักงานสอบสวนได้มีการนำสำนวนสอบสวนจากคดีของนายบุญมี เริ่มสุข ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกยิงเสียชีวิตในวันและบริเวณเดียวกัน แต่คนละช่วงเวลากัน ซึ่งในสำนวนดังกล่าวมีพยานของฝ่ายทหารอยู่แล้วพนักงานสอบสวนจึงได้ส่งสำนวนต่อให้กับทางอัยการ เมื่ออัยการทำสำนวนเสร็จและเห็นว่าสำนวนสมบูรณ์แล้วจึงได้ทำการยื่นคำร้องขอไต่สวนชันสูตรพลิกศพ
พยาน
- นายอนิรุทธ์ ชวางกูร ช่างภาพโทรทัศน์ ช่อง 7
- พ.ต.ต.นพ.เอกสิทธิ์ หงส์แก้ว กลุ่มงานนิติพยาธิ สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ
- นายธนพร วงษณรัตน์ ทำการเกษตร
พยานปากแรก นายอนิรุทธ์ ชวางกูร เบิกความว่าเขาได้รับมอบหมายให้เข้าไปทำข่าวในที่ชุมนุมตั้งแต่วันที่ 11-19 พ.ค. 53 โดยมีผู้ช่วยคือนายวัชรินทร์ แก่นเดียว คอบขับรถและส่งเทปกลับสถานีและนักข่าวหญิงอีกคนซึ่งเขาจำชื่อไม่ได้ และในวันที่ 14 เขาอยู่ในพื้นที่ถนนพระราม 4 ตั้งแต่เที่ยงจนราวสองทุ่ม ในระหว่างนี้เขาได้เห็นคนเจ็บหลายคนเนื่องจากเห็นมีรถพยาบาลและกู้ภัยเข้าออกพื้นที่ เขาคาดว่าคนเจ็บเกิดจากการถูกกระสุนปืนยิง
ในช่วงเหตุการณ์เขาอยู่ฝั่งทหารเห็นมีทหาราว 30 นาย บริเวณสนามมวยลุมพินี และมีทหารอยู่อีกฟากถนนอีกราว 30-40 นาย เช่นกัน ส่วนทางด้านผู้ชุมนุมอยู่ห่างออกไปทางบ่อนไก่ซึ่งห่างจากสนามมวยลุมพินีราว 100 เมตร ใกล้กับปั๊มน้ำมัน ปากซอยปลูกจิตมีผู้ชุมนุมอยู่เป็นจำนวนมาก ทางฝ่ายทหารได้มีการยิงปืน M16 ยิงไปทางผู้ชุมนุม แต่เขาไม่ทราบว่าเป็นกระสุนจริงหรือกระสุนซ้อม และมีการใช้แก๊สน้ำตาด้วย ทางด้านผู้ชุมนุมได้ยิงพลุ ตะไล ในการตอบโต้กลับไป
ทหารได้ตั้งแถวเดินจากสะพานไทย-เบลเยี่ยมเข้าหาผู้ชุมนุมที่อยู่ทางด้านบ่อนไก่ตั้งแต่ช่วงเที่ยง 14.00 น. จึงได้เริ่มปฏิบัติการกระชับพื้นที่ ระหว่างนี้มีคนได้รับบาดเจ็บแต่เขาไม่ได้เห็นกับตาแต่เขาดูจากการที่มีรถพยาบาลและกู้ภัยพเข้าออกถนนพระราม 4 ทางด้านผู้ชุมนุมก็ได้ถอยจากบริเวณสนามมวยลุมพินีไปที่ซอยปลูกจิต ทหารจะมาถึงแค่สนามมวยลุมพินีและจับกุมผู้ชุมนุมที่เข้าใกล้ทหารได้ราว 10-20 คน แล้วใช้สายรัดมัดมือไพล่หลังเอาไว้ ผู้ชุมนุมได้ถอยไปจนถึงซอยปลูกจิตซึ่งตรงนั้นมีร้านชื่ออะไรเขาจำไม่ได้เขาจำได้เพียงมีคำว่า “ระเบียง” อยู่ในชื่อด้วย ซึ่งได้มีเสียงระเบิดดังขึ้นที่บริเวณนั้น แต่ในขณะเดียวกันในจุดที่เขาอยู่คือบริเวณสนามมวยลุมพินีมีคนตะโกนสั่งว่า “ใช้กระสุนจริงแล้ว” ซึ่งในจุดที่เขาอยู่นั้นมีกลุ่มทหารอยู่ใกล้ๆ ด้วย แต่เขาไม่ทราบว่าใครพูด
ในตอนค่ำเขาทราบว่าคนชื่อฐานุทัศน์ถูกยิงที่บริเวณสะพานลอยแถวบ่อนไก่จากคนที่อยู่ในบริเวณนั้น และเวลาราว 18.00-19.00 น. ได้มีระเบิดมาตกทางด้านขวามือของเขาซึ่งในขณะนั้นเขาได้หันหน้าไปทางบ่อนไก่ โดยตกห่างจากเขาราว 10 เมตร ทำให้ถูกเศษหินที่แตกจากการระเบิดทำให้ได้รับบาดเจ็บที่ฝ่ามือและหัวเข่า เขาทราบว่าเป็น M79 จากทหารที่เตือนให้หลบจากนั้นเขาจึงไปแจ้งความที่สน.ลุมพินีแล้วจึงไปรักษาการบาดเจ็บที่โรงพยาบาลพญาไท 2
ทนายถามว่าเขาเข้าพื้นที่ตั้งแต่เวลาใดและอยู่จุดในเขาได้ตอบว่า ตั้งแต่ 10 โมงเช้า แล้วเขาได้ไปขอเจ้าของร้านเสริมสวยที่อยู่หน้าสนามมวยลุมพินี ฝั่งตรงกันข้ามกับภัตตาคารจันทร์เพ็ญ ขึ้นไปบนอาคารเพื่อจะถ่ายภาพมุมกว้างโดยขึ้นไปด้วยกันหมดทั้ง 3 คน ในขณะนั้นทหารอยู่บริเวณเชิงสะพานไทย-เบลเยี่ยม ราว 1 กองร้อยโดยมีอาวุธปืน M16 ปืนลูกซอง และโล่ หลังจากนั้นเขาลงจากตึกโดยปีนต้นไม้ลงเพราะเจ้าของได้ออกจากพื้นที่ไปก่อนแล้ว เมื่อลงมาแล้วจึงไปทางสนามมวยลุมพินี หลังแนวทหาร ตัวเขาไม่มีเกราะกันกระสุน มีปลอกแขนสีเขียว
ในช่วงเกิดเหตุมีคนบอกกับเขาว่ามีทหารอยู่บนตึกให้ระวัง โดยตึกดังกล่าวอยู่ฝั่งเดียวกับภัตตาคารจันทร์เพ็ญเขาได้ใช้กล้องหันไปแต่มองไม่เห็น
ทนายได้ถามถึงกล้องที่เขาใช้ว่าเป็นกล้องชนิด รุ่นอะไรและสามารถซูมภาพได้มากน้อยแค่ไหนเขาตอบว่ากล้องที่ใช้เป็นกล้องถ่ายภาพเคลื่อนไหว ซูเปอร์เบต้าสามารถซูมภาพได้ในระยะไม่ต่ำกว่า 200 เมตร และทนายได้ถามกับเขาว่ารู้จักปืน M653 หรือไม่ เขาตอบปฏิเสธ ทนายถามคำถามสุดท้ายว่าในวันที่ 14 ร้านค้าในพื้นที่ยังเปิดให้บริการปกติหรือไม่ เขาบอกว่ายังเปิดตามปกติ
พยานปากที่สอง พ.ต.ต.นพ.เอกสิทธิ์ หงส์แก้ว เบิกความว่าเขาเป็นแพทย์ สบ.2กลุ่มงานพยาธิวิทยามีหน้าที่ชันสูตรพลิกศพหาสาเหตุการตายที่พนักงานสอบสวนส่งศพให้ตรวจ และในวันที่ 27 ก.พ. 55 เวลา 23.45 น. พนักงานสอบสวน สน.บางรัก ได้ส่งศพนายฐานุทัศน์ให้ตรวจ วันรุ่งขึ้นเวลา 10.30 น. จึงได้ทำการตรวจ แต่ก่อนตรวจเขาไม่ทราบว่าได้เสียชีวิตเป็นเวลากี่วันแล้ว
จากนั้นเขาได้อ่านรายงานการตรวจศพสรุปได้ความว่า สภาพศพภายนอก พบบาดแผลเป็นลักษณะแนวเส้นโค้งบริเวณหน้าท้องด้านขวาส่วนบน ที่บริเวณสะบักด้านขวามีแผลลักษณะแนวเส้นตรง ที่ขากรรไกรล่างด้านขวามีแผลเป็นลักษณะแนวเส้นตรง และใต้สะบักซ้ายมีแผลเป็นรูปร่างค่อนข้างกลม และพบแผลกดทับ สภาพศพภายในที่บริเวณอกกระดูกซี่โครงด้านขวาซี่ที่ 4-5 หักทางด้านหลัง ปอดขวามีเนื้อเยื่อพังผืดยึดติดผิวปอดกับเยื่อหุ้มผนังช่องอก เส้นเลือดเลี้ยงหัวใจแขนงซ้ายมีผนังหนาร่วมกับหลอดเลือดมีลักษณะตีบแคบลง 50 % และพบหัวกระสุนปืนตะกั่วหุ้มทองแดง จำนวน 1 ชิ้น ฝังอยู่ใต้สะบักด้านขวาค่อนมาทางด้านนอก พบหย่อมกลุ่มเซลล์อักเสบแทรกในเนื้อปอด ตับพบก้อนเนื้อมะเร็งแทรกในเนื้อตับ สาเหตุการตาย ระบบไหลเวียนโลหิตและการหายใจล้มเหลว สันนิษฐานจากมะเร็งระยะลุกลาม ร่วมกับพบหัวกระสุนปืนบริเวณสะบักด้านขวา และมีการพบยารักษาสภาพศพในร่างกายตามอวัยวะภายในจุดต่างๆ และอวัยวะบางส่วนเริ่มมีการเน่า
แผลเป็นค่อนข้างกลมที่อยู่ใต้สะบักซ้ายไม่สามารถยืนยันได้ว่าเกิดจากอะไร และยืนยันไม่ได้ว่าเกิดจากกระสุนหรือไม่ ส่วนแผลกดทับสภาพเป็นแผลเรื้อรังตรงตำแหน่งส่วนนูนของกระดูกซึ่งสัมผัสกับที่นอน อาจเกิดจากการกดทับกับที่นอน แผลกดทับสามารถทำให้เกิดการติดเชื้อได้ และการติดเชื้อทำให้เสียชีวิตได้ แต่เพียงแค่แผลกดทับอย่างเดียวไม่สามารถทำให้เสียชีวิตได้ แต่ในกรณีของนายฐานุทัศน์นั้นมีสาเหตุอื่นที่มาจากสภาพผู้ป่วยเนื่องจากพบว่ามีมะเร็งที่ตับอาจเป็นเหตุให้การติดเชื้อรุนแรงมากขึ้น การติดเชื้อที่ทำให้ถึงแก้ชีวิตจะต้องเป็นการติดเชื้อในกระแสเลือด
ยารักษาสภาพศพที่ตรวจพบในร่างกายส่งผลต่อการตรวจในบางเรื่อง เพราะหากจะมีผลจะส่งผลต่อการตรวจหาสารเคมีหรือการตรวจปัสสาวะจะทำให้ตรวจไม่ได้เพราะเกิดการปนเปื้อน แต่ในกรณีนี้น้ำยากรักษาสภาพศพไม่ส่งผลต่อการตรวจศพของนายฐานุทัศน์ อวัยวะบางส่วนที่เริ่มเน่าไม่มีผลต่อการตรวจเช่นกัน ไม่พบบาดแผลภายนอก การตรวจภายในไม่พบสิ่งผิดปกติที่ศีรษะและคอที่อกมีซี่โครงที่ 4-5 หักทางด้นหลังการหักจะต้องแรงมากระทำแต่บอกไม่ได้ว่าแรงเพียงใด แต่ในรายนี้บอกไม่ได้แล้วว่าหักเมื่อใดเนื่องจากหักก่อนมีการตรวจศพนานแล้ว ปอดขวามีเยื่อพังผืดติดอยู๋กับเยื่อพนังช่องอก เนื่องจากมีการอักเสบมาก่อนหน้านี้ อาจเกิดจากการติดเชื้อหรืออักเสบถ้าเป็นมากสามารถทำให้เสียชีวิตได้ ในรายนี้มีภาวะมะเร็งตับอาจเป็นเหตุสนับสนุนให้เสียชีวิตเร็วขึ้น ไม่สามารถยืนยันได้ว่ามีร่องรอยเคยได้รับการผ่าตัด ไม่สามารถยืนยันได้อีกว่ามีส่วนใดมีบาดแผลที่เกิดจากกระสุนปืน ในความเห็นของเขาร่างกายส่วนที่เสียหายมากจนทำให้เสียชีวิตคือมะเร็งที่ตับ แต่มะเร็งที่ตับเป็นมะเร็งที่ลุกลามมาจากส่วนอื่น แต่ตรวจไม่พบว่าลุกลามมาจากส่วนอวัยวะใดหรืออาจจะเป็นเพราะว่ามะเร็งได้ถูกรักษาไปก่อนแล้วทำให้ตรวจไม่พบ นอกจากนี้ยังพบหัวกระสุนปืนตะกั่วหุ้มทองแดงที่สะบักขวา
เขามีความเห็นว่านายฐานุทัศน์เสียชีวิตจากมะเร็งระยะลุกลามระบบโลหิตและหายใจล้มเหลวและพบหัวกระสุน ส่วนกระสุนที่พบในร่างกายสามารถอยู่ได้ตลอดไปและอยู่ในจุดที่ไม่มีอวัยวะสำคัญถ้าสามารถเอาออกได้ก็เอาออก แต่ถ้าเกิดอันตรายก็ไม่เอาออก แต่จุดที่พบไม่มีอวัยวะสำคัญจึงไม่จำเป็นต้องเอาออก และเขาคิดว่าแพทย์ที่ทำการรักษาเห็นว่าไม่เอาออกเนื่องจากอาจจะเกิดอันตรายมากกว่า และเขาเบิกความต่ออีกว่าแม้ว่าผู้ตายคนนี้ไม่ถูกยิงเหตุตายก็ยังอาจจะตายจากเหตุเดียวกันนี้
ทนายได้ถามเขาว่าเคยดูผลการตรวจรักษาก่อนหน้าที่นายฐานุทัศน์เสียชีวิตหรือไม่เขาตอบว่าไม่เคยและไม่ทราบสภาพก่อนหน้าที่เขาจะทำการตรวจ และเขาตรวจศพจากสภาพตามที่เห็นไม่ได้ใช้ผลการตรวจอื่นๆ ประกอบ ทนายได้ถามต่อว่าแผลเป็นที่ตรวจพบนั้นเกิดขึ้นมานานแค่ไหน เขาตอบว่าแผลเป็นที่ตรวจพบนั้นเป็นแผลที่เกิดก่อนการตรวจ 7 วันแน่นอน แต่นานแค่ไหนเขาไม่ทราบ ส่วนแผลกดทับนั้นเขาก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเกิดขึ้นเมื่อใด แต่เกิดก่อนเสียชีวิตแน่นอน
ส่วนกระดูกซี่โครงซี่ที่ 4-5 ที่หักนั้นไม่เกี่ยวกับการเป็นอัมพาตแต่จากการตรวจศพเมื่อตรวจแล้วเขาไม่ทราบว่านายฐานุทัศน์เป็นอัมพาต การตีบตันของเส้นเลือดที่เกิดจากผนังหลอดเลือดที่หนาสามารถทำให้เสียชีวิตได้แต่จากการตรวจศพที่พบว่าตีบแคบลง 50 % คาดว่าจะไม่ส่งผลต่อเลือดที่ส่งไปเลี้ยงหัวใจทำให้ถึงแก่ชีวิต ส่วนการที่ไม่สามารถหาอวัยวะต้นทางของมะเร็งที่ตับเจอนั้นอาจะเป็นเพราะว่าได้รับการรักษาไปแล้วหรือตรวจไม่พบเนื่องจากมะเร็งมีขนาดเล็กจนหาไม่พบ
ที่ปอดพบเซลล์อักเสบเป็นจำนวนมากแทรกในเนื้อปอดเนื่องจากการติดเชื้อมนปอดแต่ไม่ทราบว่าติดเชื้อจากอะไรซึ่งอาจจะทำให้เสียชีวิตได้ ในการติดเชื้อนั้นอาจจะเกิดจากสาเหตุประกอบอื่นๆ นอกจากมะเร็งที่พบอาจเกิดจากการเป็นอัมพาตเป็นเวลานานก็ได้แต่ในรายนี้เขาคิดว่าอาจจะเกิดจากมะเร็งมากกว่า
พยานปากที่สามนายธนพร วงษณรัตน์ เบิกความว่าเขาเป็นการ์ด นปช. คอยดูแลผู้ชุมนุม ในวันที่ 14 พ.ค. 53 เขาอยู่ในที่ชุมนุมตั้งแต่ 5.00 – 11.00 น. แล้วกลับไปที่โรงแรมทุ่งมหาเมฆ ในซอยงามดูพลีจากนั้นได้ออกมาชุมนุมอีกในเวลา 13.00-15.00 น. เมื่อเขากลับออกมาชุมนุมอีกครั้งมีผู้ชุมนุมเล่าให้เขาฟังว่ามีคนถูกยิงที่สะพานลอยตรงบ่อนไก่ พระราม 4 ในเวลาประมาณ 12.00 – 13.00 น. เขาทราบในภายหลังว่าคนที่ถูกยิงนั้นชื่อนายฐานุทัศน์ อัศวสิริมั่นคง
เวลาประมาณ 14.00 น. ตอนที่เขาอยู่ที่ปากซอยงามดูพลีเขาเห็นทหารราว 200-300 นาย แต่งกายชุดลายพราง ผ้าพันคอสีฟ้า มีโล่และปืนยาว หันหน้ามาทางบ่อนไก่และได้ทำการยิงอยู่หน้าสนามมวยลุมพินีโดยทหารเดินมาจากทางสะพานไทย-เบลเยี่ยม ทางผู้ชุมนุมและประชาชน 200-300 คน อยู่ห่างจากแนวทหารราว 100 เมตร หลังจากนั้นเวลาประมาณ 15.00 – 16.00 น.เขาได้เห็นนายบุญมี เริ่มสุขถูกยิงอยู่ข้างตู้โทรศัพท์หน้าซอยปลูกจิตใกล้ปั๊มน้ำมัน ปตท. ซึ่งตอนที่เขาเห็นนั้นได้มีเสียงปืนดังขึ้นและเขาได้เห็นว่าทหารได้มีการยิงโดยเล็งปืนมาทางผู้ชุมนุม เขาได้หันไปดูทางปั๊ม ปตท. เขาได้เห็นายบุญมีล้มอยู่ เห็นแล้วเขาจึงได้วิ่งข้ามจากฝั่งซอยงามดูพลีไปฝั่งปั๊ม ปตท. และได้พานายบุญมีเข้าไปในร้านกาแฟของปั๊มน้ำมันจากนั้นได้มีจักรยานยนต์มารับตัวไปส่งโรงพยาบาล เขาได้บอกอีกว่าจุดที่นายฐานุทัศน์และนายบุญมีถูกยิงนั้นห่างกันราว 40 เมตร ซึ่งตรงจุดนั้นจะมีสะพานลอยคนข้ามอยู่จุดที่นายฐานุทัศน์ถูกยิงจะอยู่เลยสะพานออกไป
อาวุธที่ทหารใช้มีปืนM16 ทาโวร์ ปืนลูกซอง และแก๊สน้ำตา และเขาคิดว่ากระสุนที่ทหารใช้เป็นกระสุนจริงเพราะถ้าเป็นกระสุนยางก็ไม่น่าจะทะลุเสื้อผ้าได้ และเขาเคยเป็นทหารกองร้อยลาดตระเวณระยะไกล กองพลทหารราบที่ 6 จ.ร้อยเอ็ด เขาไม่เห็นชายชุดดำหรือว่าผู้ชุมนุมมีอาวุธนอกจากนำยางมาจากร้านยาง
ทนายถามถึงเหตุการณ์ก่อนที่เขาจะกลับเข้าโรงแรมว่าทหารอยู่บริเวณใด เขาได้ตอบว่าตอนนั้นทหารอยู่ที่สะพานไทย-เบลเยี่ยม ตั้งแถวปิดฝั่งสาทรไม่ให้คนมารวมที่บ่อนไก่ ทหารได้มีการยิงด้วย ตอนราว 7 โมงหนึ่งรอบ 9 โมงหนึ่งรอบ เห็นเล็งไปทางที่คนอยู่ ทนายได้ถามถึงว่าในวันนั้นคนในบริเวณนั้นมีพฤติกรรมอย่างไรบ้างเขาตอบว่า ในเวลานั้นคนยังคงใช้ชีวิตตามปกติทั่วไปอยู่
จากนั้นทนายได้ถามถึงเหตุการณ์ตอนบ่ายหลังเขาออกจากโรงแรมกลับมาชุมนุม เขาตอบว่า ทหารได้ขยับแนวเข้ามาใกล้มากขึ้นโดยอยู่ตรงบริเวณสนามมวยลุมพินีซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่เขาอยู่ราว 200 เมตร และถามว่าเห็นมีการใช้ปืน M653หรือไม่เขาบอกว่าเห็น
นัดสืบพยานวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2556
วันนี้ทางฝ่ายทหารจากสำนักงานพระธรรมนูญทหารบกซึ่งได้รับมอบอำนาจจากรองผบ.ทบ. พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ ซึ่งทำหน้าที่แทนผบ.ทบ. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ทำการยื่นหนังสือคำร้องขอนำพยานเข้าสืบซึ่งเป็นทหารจำนวน 3 นาย คือ พ.อ.เพชรพนม โพธิ์ชัย, ร.อ.ผดุงศักดิ์ ปิ่นเกตุ และร.อ.พีระพงศ์ พินิจรัตนพันธ์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่จากกองพันทหารม้าที่ 5 กรมทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ ซึ่งปฏิบัติการอยู่ในที่เกิดเหตุ และเพิ่มสำนวนคดีของศาลอาญากรุงเทพใต้ คดีหมายเลขดำ ช.7/2555(คดีนายบุญมี เริ่มสุข)เขามาในการไต่สวนด้วย
พยาน
- พ.ต.ท.วัชรัศมิ์ เฉลิมสุขสันต์ นักนิติวิทยาศาสตร์ ผู้ชำนาญการพิเศษตรวจสถานที่เกิดเหตุและตรวจวิถีกระสุน ผอ.สำนักตรวจสถานที่เกิดเหตุ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม
- พ.ต.ท.สุรพล ล้วนประเสริฐ พนักงานสอบสวน สน.บางรัก
- พ.ต.ท.ปรีชา หนูประสิทธิ์ พนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ
พยานปากแรก พ.ต.ท.วัชรัศมิ์ เฉลิมสุขสันต์ เบิกความว่า ตรวจพื้นที่ถนนพระราม 4 ครั้งแรกในวันที่ 24 ก.ย. 53 ตั้งแต่แยกวิทยุถึงใต้ทางด่วนเฉลิมมหานครโดยมีการตรวจทั้งถนนฝั่งขาเข้าและขาออกโดยพบรอยกระสุน 55 รอย จากกระสุน .223(5.56มม.),กระสุนลูกซอง และยืนยันชนิดไม่ได้ โดยทิศทางกระสุนจากทางด้านแยกวิทยุไปทางด่วนเฉลิมมหานครเป็นส่วนใหญ่ และเข้าตรวจอีกครั้ง 16 พ.ย. 53 ที่หน้าปั๊ม ปตท. บริวเณร้านอเมซอนภายในปั๊ม และฝั่งตรงข้ามคือซอยงามดูพลี ที่บริเวณหน้าปั๊ม ปตท. เจอรอยกระสุนแต่ยืนยันชนิดไม่ได้ ส่วนทางด้านซอยงามดูพลี พบเศษกระสุนอยู่ข้างในเสา ระบุวันที่ไม่ได้แต่อยู่ในช่วง 14-16 พ.ค. 53
เขาได้รับการติดต่อจากทาง DSI ให้เข้าตรวจสถานที่เกิดเหตุในวันที่ 24 ก.ย.53 เวลาราว 10โมงเช้า โดยเขาได้ทำรายงานการตรวจสถานที่ ภาพถ่าย และทำแผนที่ ที่บริเวณจุดนายฐานุทัศน์ถูกยิงป้ายรถประจำทางหน้าธนาคารไทยพาณิชย์ พบรอยกระสุน 15 รอย จากกระสุนขนาด .223(5.56 มม.) ตามอาคารและบอกทางริมถนน หน้าบริษัทโตด้า พีวีซี จำกัด หน้าร้านแว่นท๊อปเจริญ ร้านแผงลอยริมถนน โดยมีทิศทางจากด้านแยกวิทยุไปใต้ทางด่วนเฉลิมมหานคร รอยที่พบมีระดับความสูงตั้งแต่ไม่ถึง 1 ม. จนถึง สูงกว่า 2 ม. ขึ้นไปถ้ามีคนอยู่ในวิถีกระสุนก็อาจจะถูกส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ซึ่งกระสุน.223(5.56 มม.) เป็นเครื่องกระสุนที่ไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ ใช้ได้เพาะเจ้าหน้าที่ ทหารและตำรวจ
ทนายได้ถามเขาว่าระยะหวังผลของกระสุนปืน .223 มีระยะเท่าไหร่ เขาได้ตอบ่าอยู่ในช่วง 300-400 ม. โดยมีระยะยิงไกลสุดอยู่ที่ 1 กม. และกระสุนชนิดนี้ใช้ได้ทั้งปืน M16 และ HK33
พยานปากที่สอง พ.ต.ท.สุรพล ล้วนประเสริฐ เบิกความว่าได้รับแจ้งถึงการเสียชีวิตของนายฐานุทัศน์ จากนางวรานิษฐ์ อัศวสิริมั่นคง เมื่อวันที่ 26 ก.พ.55 ในเวลา 14.50 น. โดยเธอได้แจ้งว่า เมื่อวันที่ 14 พ.ค.53 เวลา 12.00 น.เศษ เธอ นายฐานุทัศน์และลูกชาย ลูกสาว ได้ออกจากบ้านี่ทบ่อนไก่ ไปรอรถประจำทางที่ป้ายรถหน้าธนาคารไทยพาณิชย์ ขณะที่รออยู่นั้นก็ได้สังเกตเห็นทหารอยู่ที่สะพานไทย-เบลเยี่ยม ราว 10-15 นาย มีทั้งที่ถือและสะพายอาวุธปืนยาวอยู่ ทหารจะตั้งแถวอยู่บนสะพาน
ต่อมานางวรานิษฐ์ได้ยินเสียงปืนมาจากทางสะพานไทย-เบลเยี่ยม พวกเธอจึงได้วิ่งหนี นายฐานุทัศน์ได้บอกให้เธอและลูกๆ หลบเข้าไปในเซเว่นเอเลฟเวน แต่นางวรานิษฐ์ บอกให้ลูกทั้งสองคนวิ่งเข้าบ้านดีกว่า เมื่อถึงบ้านแล้วเธอได้โทรศัพท์หายนายฐานุทัศน์แต่ไม่รับสาย จากนั้นพี่สาวของนางวรานิษฐ์ถามว่านายฐานุทัศน์ถึงบ้านหรือยังเธอได้ตอบว่ายังไม่กลับ ต่อมาเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลกล้วยน้ำไทโทรศัพท์แจ้งกับเธอว่านายฐานุทัศน์ต้องผ่าตัดและเสียเลือดมากให้เธอไปที่โรงพยาบาล เมื่อเธอไปถึงโรงพยาบาลนายฐานุทัศน์กำลังได้รับการรักษาอยู่ ต่อมาได้ย้ายไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลมเหสักข์ นายฐานุทัศน์เสียชีวิตในวันที่ 23 ก.พ.55 เวลา 22.25 น. ที่โรงพยาบาลมเหสักข์วันที่ 24 ก.พ.55 นางวรานิษฐ์ได้รับศพไปทำพิธีที่วัดหัวลำโพง
เขาได้รับแจ้งว่านายฐานุทัศน์เสียชีวิตจากการถูกยิงและปอดอักเสบ โดยในตอนแรกแจ้งว่าเป็นปอดอักเสบ ภายหลังแจ้งว่าถูกยิงจากทหาร จึงได้มีการร่วมกันชันสูตรพลิกศพโดยพนักงานสอบสวน แพทย์นิติวิทยาศาสตร์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และพนักงานอัยการ ตรวจพบหัวกระสุนตะกั่วหุ้มทองแดงที่สะบักด้นขวาจึงส่งไปตรวจพิสูจน์ จากนั้นเขาได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาและไปถึงผู้กำกับการ เขาจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพนักงานสอบสวนในคดีด้วย เมื่อทำการสอบสวนได้พบคลิปบนอินเตอร์เนตจึงได้หาคนถ่ายคลิปดังกล่าวแล้วพบว่าคือนายอนิรุทธ์ ชวางกูร
ทนายได้ซักถามถึงการขีดฆ่าสาเหตุการเสียชีวิตในมรณบัตรและมีการแก้ไขจากปอดอักเสบเป็น ระบบไหลเวียนโลหิตและหายใจล้มเหลวและพบหัวกระสุนว่ามีการแก้เมื่อไหร่ เขาไม่ทราบ
พยานปากที่สาม พ.ต.ท.ปรีชา หนูประสิทธิ์ เบิกความว่าจากมติคณะกรรมการคดีพิเศษ ได้มีคำสั่ง 3/2553 ให้คดีที่เกี่ยวกับการก่อการร้ายในเหตุการณ์ชุมนุมปลายปี 52 เป็นคดีพิเศษ และนางวรานิษฐ์ได้แจ้งความว่านายฐานุทัศน์ถูกยิงบาดเจ็บเมื่อ 14 พ.ค.53 เวลา 12.00 น. ที่หน้าธนาคารไทยพาณิชย์ ลุมพินี หลังสน.ลุมพินีส่งสำนวน DSI ได้รับเป็นคดีพิเศษที่ 338/2553 และได้มีคำสั่ง 222/2553 ให้สืบสวนตามมติคณะกรรมการคดีพิเศษ
ในสำนวนมีคำให้การของนางวรานิษฐ์และนายฐานุทัศน์ก่อนเสียชีวิต และมีเอกสารการสอบสวนของพ.ต.ท.ยุต ทองอยู่ ทำไว้มีบันทึกการตรวจสถานที่ แผนที่ DSI ได้ทำหนังสือร้องขอรายงานผลการตรวจของแพทย์ไปทั้งโรงพยาบาลกล้วยน้ำไทและโรงพยาบาลมเหสักข์ จากการติดตามของเขาได้รายงานมาจากโรงพยาบาลมเหสักข์เพียงแห่งเดียว
เขาได้คุยกับหัวหน้าชุดสอบสวนเนื่องจากไม่มีประจักษ์พยานอื่นๆ ในคำให้การของนายฐานุทัศน์และนางวรานิษฐ์นอกจากลูกชายและลูกสาว จึงเห้นควรให้นำพยานในคดีอื่นที่เสียชีวิตในวัน เวลาและสถานที่เดียวกันมารวม แต่ยังไม่พบว่ามีเขาจึงไม่มีความเห็นใดๆ ต่อสำนวนการสืบสวนนี้
เขาได้อธิบายถึงเหตุที่สำนวนการสืบสวนมาอยู่ที่ สน.บางรักได้ ว่าพนักงานสอบสวน สน.บางรักได้แจ้งว่านายฐานุทัศน์เสียชีวิตแล้วจึงได้ทำหนังสือขอสำนวนการสืบสวน 338/2553 จากทาง DSI เขาจึงได้ทำหนังสือส่งสำนวนให้กับทางสน.บางรัก
นัดสืบพยานวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2556
วันนี้ศาลได้ยกคำร้องนำพยานเข้าสืบจากทางฝ่ายทหารโดยให้เหตุผลว่า “ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม.150 ให้อำนาจพนักงานอัยการยื่นคำร้องขอให้ไต่สวนและให้สิทธิญาติของผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้ามาซักถามพยานที่พนักงานอัยการนำสืบและสืบพยานหลักฐานอื่นได้ โดยไม่ปรากฎว่าได้ให้อำนาจเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่ยื่นคำร้องขอสืบพยานหลักฐานได้ ให้ยกคำร้อง”
พยาน
- นางวรานิษฐ์ อัศวสิริมั่นคง ภรรยานายฐานุทัศน์
- นพ.อำนาจ กุสลานันท์ แพทย์ที่ปรึกษานิติเวชศาสตร์ โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท และ โรงพยาบาลมเหสักข์ ปัจจุบันเป็นแพทย์ที่ปรึกษาประจำ โรงพยาบาลศิริราช
- นายนนท์นริฐ อัศวสิริมั่นคง ลูกชายนายฐานุทัศน์
- พ.ต.ท.กิตติศัดิ์ ยาคุ้มภัย กองพิสูจน์
พยานปากแรกนางวรานิษฐ์ อัศวสิริมั่นคงเบิกความว่า นายฐานุทัศน์เป็นมะเร็งท่อน้ำดี อาการราวช่วงกลางเดือนมิ.ย.52 จึงไปตรวจที่โรงพยาบาลมเหสักข์มีการเจาะเลือด แต่การรักษาไปรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาฯ
นางวรานิษฐ์ได้เบิกความถึงเหตุการณ์วันที่ 14 พ.ค.53 ว่าเธอ นายฐานุทัศน์(ใส่เสื้อยืดคอปกสีเขียว กางเกงสีน้ำเงินเข้ม) และลูกทั้ง 2 คนออกจากเคหะบ่อนไก่จะไปโลตัส พระราม 4 ในเวลาประมาณ 11.00 น.เศษ ก่อนเที่ยง ไปรอรถประจำทางที่ป้ายรถหน้าธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งในบริเวณนั้นมีโรงรับจำนำและเซเวนเอเลฟเวนอยู่ใกล้ๆ ในระหว่างที่กำลัรอรถอยู่นั้นเหตุการณ์ยังปกติ ต่อมาประมาณเที่ยงรถบนถนนน้อยลงและมีจักรยานยนต์รับจ้างขับเข้ามาถามว่าจะไปที่ไหนหรือไม่ เธอปฏิเสธเขาไปแล้วเขาได้บอกเธอว่ามีทหารปิดถนนอยู่จึงได้ถามเขาไปว่าปิดถนนทำไมแต่เขาไม่ทราบ เธอมองไปทางสะพานไทย-เบลเยี่ยมเห็นทหารราว 10 กว่าคน อยู่ที่เชิงสะพานถืออาวุธปืน เธอและลูกเข้าไปในเซเว่นเอเลฟเวน ส่วนนายฐานุทัศน์แยกไปซื้อล็อตเตอรี่ซึ่งห่างออกไปราว 10 เมตร และจุดที่อยู่นั้นห่างจากแนวทหารราว 200 เมตร เมื่อเห็นว่ารถจะไม่มาแล้วก็เลยบอกกับลูกๆ ว่าให้กลับเข้าบ้านแต่ได้มีเสียงที่ดังมากเกิดขึ้น คนในบริเวณนั้นเกิดความตกใจและวิ่งหนี นายฐานุทัศน์เดินกลับมาถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้น เธอได้บอกให้เขาดูทหารทางสะพานไทย-เบลเยี่ยม ตอนนั้นทหารตั้งแถวหน้ากระดานและสะพายปืนตั้งขึ้นเล็งมาทางที่เธอยืนอยู่ จากนั้นมีเสียงปืนดังขึ้นเป็นชุดแล้วหยุดจากทางสะพานไทย-เบลเยี่ยม นายฐานุทัศน์บอกให้เธอพาลูกๆ เข้าไปในเซเว่นเอเลฟเวนแต่เธอได้กลับบ้านเลย โดยระหว่างกลับเข้าบ้านได้โทรศัพท์หายนายฐานุทัศน์แต่ไม่รับสายจนกระทั่งกลับถึงบ้านพี่สาวของนายฐานุทัศน์ได้โทรศัพท์มาหาถามว่าอยู่กันครบหรือไม่เพราะได้ยินมาว่ามีคนในชุมชนบ่อนไก่ถูกยิง
ต่อมาเวลา 13.00 น. เศษ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลกล้วยน้ำไทโทรศัพท์แจ้งว่านายฐานุทัศน์ถูกนำตัวมารักษาและเสียเลือดมากให้รีบไปที่โรงพยาบาล เมื่อเธอไปถึงโรงพยาบาลแพทย์ได้แจ้งกับเธอว่านายฐานุทัศน์ถูกยิงด้วยกระสุนปืนที่กระดูกสันหลัง เธอจึงขอพบนายฐานุทัศน์ เมื่อได้พบเขาได้ถามเธอว่าทำไมขาไม่มีความรู้สึก เธอจึงถามแพทย์แจ้งว่าสามีถูกยิงด้วยอาวุธปืนเข้าที่กระดูกสันหลัง ทะลุปอดด้านขวาทำให้เสียเลือดมากจึงต้องผ่าเอาออก และพบกระสุนฝังอยู่ที่สะบักด้านขวา 1 นัด อาจพิการและเดินไม่ได้ไปตลอดชีวิต จากนั้นมีเจ้าหน้าที่มาแจ้งว่าจะมีเคอร์ฟิวตอน 18.00 น. ให้รีบกลับบ้าน
ในช่วงเกิดเหตุยังไม่มีการชุมนุมและเธอยังไม่พบเห็นชายชุดดำ ไม่พบคนมีอาวุธปืน เธอคิดว่าที่นายฐานุทัศน์ถูกยิงเพราะเข้าใจว่าเป็นกลุ่มผู้ชุมนุม วันนั้นเธอยังไม่ทราบว่าใครเป็นคนช่วยนายฐานุทัศน์แต่ในระหว่างที่เขารักษาตัวอยู่นายเอกสิทธิ์ วงศ์คำมาได้มาเยี่ยมและเขาได้เราให้เธอฟังในภายหลัง
นายฐานุทัศน์รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลกล้วยน้ำไทจนถึงวันที่ 4 มิ.ย.53 และย้ายไปอยู่ที่โรงพยาบาลมเหสักข์ ขณะนั้นแพทย์ต้องระบายเลือดออกจากปอด สามีมีอาการขาอ่อนแรงทั้งสองข้าง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ โดยแพทย์แจ้งว่าเป็นอัมพาตช่วงล่างอย่างถาวร แล้วออกจากโรงพยาบาลในวันที่ 7 ก.ค.53 ไปรักษาตัวที่บ้าน
วันที่ 26 มิ.ย.53 ช่วงที่ยังรักษาตัวที่โรงพยาบาลมเหสักข์ เธอได้ไปแจ้งความข้อหาพยายามฆ่าที่ สน.ลุมพินี ในวันนี้ได้ให้การ และไปสถานที่เกิดเหตุเพื่อชี้จุดถ่ายภาพและทำแผนที่ไว้แต่ยังไม่ได้ลงบันทึกประจำวัน จนในอีก 3 วันต่อมา ในวันที่ 29 จึงได้มีการลงบันทึกประจำวันไว้ และตำรวจจากสน.ลุมพินีได้ไปสอบปากคำนายฐานุทัศน์ที่โรงพยาบาลมเหสักข์
ต้นเดือนต.ค.54 นางวรานิษฐ์พานายฐานุทัศน์ไปส่งโรงพยาบาลมเหสักข์เนื่องจากเขามีอาการเจ็บต้นคอ แน่นหน้าอก แพทย์ได้ทำการผ่าตัดที่คอในวันที่ 20 ต.ค. เนื่องจากกระดูกต้นคอเสื่อมจากการได้รับบาดเจ็บรุนแรงจากการถูกยิงที่ประสาทไขสันหลังและหายใจเองไม่ได้เนื่องจากกล้ามเนื้อปอดไม่ทำงานทำให้ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ และอัมพาตทั้งตัวแขนอ่อนแรงทั้งสองข้าง จากนั้นได้กลับไปรักษาตัวที่บ้าน วันที่ 11 พ.ย. เธอได้นำตัวนายฐานุทัศน์กลับไปรักษาที่โรงพยาบาลมเหสักข์อีกครั้งเพราะมีอาการหายใจไม่ออกและแขนยังอ่อนแรงอยู่ รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลต่อเนื่องจนถึงวันที่ 5 ธ.ค.จึงมีการเจาะคอและอยู่ใน ICU จนถึง 23 ก.พ. 55 เวลา 22.20 น. เจ้าหน้าที่ ICU โทรศัพท์แจ้งกับเธอว่านายฐานุทัศน์กำลังจะเสียชีวิตคาดว่าจะไม่เกินในอีก 10 นาที เธอเกิดอาการช็อคเมื่อเธอฟื้นจึงได้โทรกลับไปเจ้าหน้าที่ได้แจ้งกับเธอว่าเขาได้เสียชีวิตแล้ว เวลา 22.35 น. จึงเสียชีวิต วันรุ่งขึ้นจึงได้ไปรับศพที่โรงพยาบาลและทางโรงพยาบาลได้ออกใบมรณบัตรโดยระบุว่าปอดอักเสบ จากนั้นเธอจึงนำศพไปทำพิธีที่วัดหัวลำโพง 26 ก.พ. จึงได้แจ้งความที่สน.บางรัก กับ พ.ต.ท.สุรพล ล้วนประเสริฐ พ.ต.ท.สาธิต ภักดี และร.ต.อ.สุทิน ซ้อนรัมย์ จากนั้นจึงได้ส่งศพไปตรวจที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจในวันที่ 27 ก.พ. และตรวจในวันรุ่งขึ้น โดยระบุสาเหตุการตายว่า ระบบไหลเวียนโลหิตและระบบหายใจล้มเหลวและพบหัวกระสุน
นางวรานิษฐ์ฟ้องเรียกค่าเสียหายต่อกระทรวงการคลัง, กระทรวงกลาโหมและกองทัพบก ที่ศาลแพ่ง รัชดา เป็นเงิน 1,700,000 บาท แต่ได้ถอนฟ้องตามเงื่อนไขรับเงินเยียวยาจากทางรัฐบาล ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นผู้จ่ายเป้นจำนวนเงิน 7 ล้านบาทเศษ
เธอได้ตอบการซักถามของทนายว่าก่อนเกิดเหตุในวันที่ 14 เส้นทางยังใช้ได้ตามปกติ ร้านค้ายังเปิดหนาแน่น อาคารสำนักงานต่างๆ ยังเปิดตามปกติ ไม่ทราบมาก่อนว่าจะมีการใช้กำลังทหารในบริเวณนั้นมาก่อน แต่เธอทราบว่ามีการชุมนุมที่แยกศาลาแดงและสี่แยกราชประสงค์ หลังได้รับแจ้งจากทางโรงพยาบาลกล้วยน้ำไทขณะกำลังจะเดินทางออกไปจากบ่อนไก่เธอได้ยินเสียงปืนดังตลอด และต้องใช้เส้นทางอ้อมออกไปทางคลองเตย ซึ่งไม่มีรถวิ่งเข้าถนนพระราม 4 แล้วมีแต่รถเลี้ยวออกไปทางศูนย์สิริกิติ์
ทนายซักถามถึงการเจ็บป่วยของนายฐานุทัศน์ก่อนถูกยิงเธอได้ตอบว่ามะเร็งท่อน้ำดี ได้มีการผ่าตัดไปตั้งแต่ ก.ย.52 จากนั้นมีการฉายแสงและทำเคมีบำบัดตั้งแต่เดือนม.ค.53 จนถึงเม.ย. 53 จนครบแล้ว และแพทย์ได้ให้มีการรายงานผลทุก 3 เดือน แต่หลังจากที่นายฐานุทัศน์ถูกยิงก็ไม่ได้ให้เขาไปตรวจแต่ได้ให้พยาบาลจากศูนย์อนามัยชุมชนบ่อนไก่มาเจาะเลือดเพื่อนำเลือดที่บ้านและเธอเป็นคนนำเลือดไปตรวจที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ตามกำหนด ผลตรวจมะเร็งไม่ได้อยู่ในระยะลุกลามและเลือดเป็นปกติดี
พยานปากที่สอง นพ.อำนาจ กุสลานันท์ เบิกความว่าเป็นผู้ตรวจบาดแผลและออกรายงานชันสูตรบาดแผลตอนที่นายฐานุทัศน์ยังไม่เสียชีวิตจากการตรวจพบบาดแผลกระสุนปืนที่หลังทะลุกระดูกไขสันหลังได้รับบาดเจ็บทำให้ขาเป้นอัมพาต โดยขาได้ทำการตรวจให้ทั้งขณะที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลกล้วยน้ำไทยและโรงพยาบาลมเหสักข์ โดยนายฐานุทัศน์รักษาที่โรงพยาบาลกล้วยน้ำไทเป็นเวลา 22 วัน และตอนที่ย้ายโรงพยาบาลนั้นขาทั้งสองข้างเป็นอัมพาตไม่สามารถช่วยตัวเองได้
เขาเบิกความอีกว่าการบาดเจ็บของนายฐานุทัศน์หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้เนื่องจากกระสุนทะลุเข้าปอดและกระดูกไขสันหลังและประสาทไขสันหลัง พบบาดแผลกระสุนปืนที่บริเวณหลังและเมื่อเอ็กซเรย์พบหัวกระสุนที่สะบักขวา แพทย์ที่ผ่าตัดได้ทำการผ่าตัดเอาหัวกระสุนออก การบาดเจ็บทำให้ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อาจทำให้เกิดแผลกดทับ และในกรณีนี้ก็มีบาดแผลกดทับที่ก้นกบและอาจทำให้เกิดการติดเชื้อจนเสียชีวิตได้ ซึ่งก็มีแผลติดเชื้อที่ก้นกบ
นพ.อำนาจตอบการซักถามของทนายว่าเขาเป็นผู้ตรวจบาดแผลแต่แพทย์ที่รักาเป็นทีมอื่นซึ่งเป็นคณะแพทย์ของทางโรงพยาบาลของแต่ละโรงพยาบบาล เขาได้ตรวจบาดแผลหลังจากที่ถูกยิงในช่วงแรกของการรักษา แต่ไม่ได้ตรวจช่วงก่อนเสียชีวิต เขาทราบว่านายฐานุทัศน์เสียชีวิตจากการดูประวัติการรักษา จากที่มรณบัตรลงเอาไว้ในความเห็นของเขาปอดอักเสบเกิดได้จากการบาดเจ็บที่ปอดขวาจากบาดแผลกระสุนปืนหรืออาจเกิดจากการที่อยู่นิ่งเป็นเวลานานจากการเป็นอัมพาต ส่วนกระสุนที่สะบักขวาเขายืนยันไม่ได้ว่าเป็นกระสุนนัดเดียวกันกับที่เขาจากหลังทะลุไขสันหลังและปอดหรือไม่ และไม่ทราบว่ากระสุนทะลุอย่างไร เขาไม่ทราบว่านายฐานุทัศน์มีอาการเจ็บป่วยอื่นหรือไม่
พยานปากที่สามนายนนท์นริฐ อัศวสิริมั่นคงเบิกความว่าวันที่ 14พ.ค.53 เวลา 12.00น. เศษ เขากำลังจะไปโลตัสพระราม 4 กับครอบครัวโดยไปขึ้นรถประจำทางที่ป้ายซึ่งมีเซเว่นเอเลฟเวน โรงรับจำนำ และธนาคารไทยพาณิชย์สาขาลุมพินีอยู่ในบริเวณใกล้เคียง
เขาเข้าไปในเซเวนเอเลฟเวนแล้วเดินออกมา มีเสียงดังคล้ายระเบิดเกิดขึ้น นางวรานิษฐ์จึงพาเขาและน้องสาวหลบที่โรงจำนำอยู่ราว 10 นาที จากนั้นนายฐานุทัศน์เดินมารวมกัน มีเสียงปืนดังขึ้นผู้คนวิ่งหนีกันอลหม่าน เขาจึงมองไปทางสะพานไทย-เบลเยี่ยมเขาจึงเห็นว่ามีทหารอยู่ ขณะนั้นมีเสียงปืนดังเป็นระยะ เขาก็เข้าเซเวนเอเลฟเวนอีกครั้งนางวรานิษฐ์ได้เดินเข้าไปตามแล้วบอกว่ากลับดีกว่าเพราะเกรงว่าอาจจะเกิดอันตราย
ระหว่างที่กำลังเดินเข้าบ้านได้พยายามโทรศัพท์หานายฐานุทัศน์แต่ไม่รับสาย เมื่อถึงบ้านแล้วป้า(พี่สาวนายฐานุทัศน์) ได้โทรศัพท์หานางวรานิษฐ์ถามว่าครอบครัวอยู่กันครบหรือไม่เนื่องจากทราบว่ามีคนในชุมชนบ่อนไก่ถูกยิง หลังจากนั้นโรงพยาบาลกล้วยน้ำไทได้โทรศัพท์มาแจ้งว่านายฐานุทัศน์ถูกยิง เขา แม่และน้องสาวจึงไปที่โรงพยาบาลพบนายฐานุทัศน์อยู่ในห้องไอซียู แพทย์ได้แจ้งว่านายฐานุทัศน์อาจจะเป็นอัมพาตที่ขา
นายนนท์นริฐ เบิกความด้วยว่าไม่เห็นว่าใครเป็นยิงนายฐานุทัศน์ แต่เขาคิดว่าเป็นทหารยิงบิดาพยานเพราะว่าช่วงนั้นทหารมากระชับพื้นที่จัดการการชุมนุมของกลุ่มผู้ชุมนุมขณะนั้น ส่วนป้ายรถประจำทางที่พยานอยู่นั้นห่างจากสะพานไทย-เบลเยี่ยมประมาณ 200 เมตร ขณะเกิดเหตุนายฐานุทัศน์สวมเสื้อโปโลสีเขียว กางเกงสีเทาดำ ก่อนเกิดเหตุนายฐานุทัศน์ไม่เคยมีเหตุโกรธเคืองกับใครมาก่อน
พ.ต.ท.กิตติศักดิ์ ยาคุ้มภัย เบิกความว่าหัวกระสุนที่ได้จากการผ่าศพนายฐานุทัศน์ซึ่งได้รับมาตรวจเป็นกระสุนปืนเล็กกลขนาด .223(5.56 มม.) ซึ่งสามารถใช้กับปืนเล็กยาว M653 ได้ สำหรับอาวุธปืนเล็กยาว M653 สามารถเปลี่ยนลำกล้องใช้ร่วมกับปืนเล็กกลขนาดเดียวกันได้ เช่น M16 ซึ่ง M16 มีหลากหลายรุ่น เช่น M16 A1 หรือ M16 A2 เป็นต้น
เขาเบิกความอธิบายถึงการใช้กระสุนซ้อมรบว่า กระสุนซ้อมรบหรือลูกแบลงค์(Blank) เป็นกระสุนที่ไม่มีหัว จะมีดินปืนบรรจุอยู่ในปลอกกระสุนบรรจุและส่วนปลายของปลอกกระสุนจะเป็นจีบปิดเอาไว้ ดังนั้นเวลายิงจะมีเสียงดังออกไป โดยทั่วไปการยิงกระสุนซ้อมรบแบบยิงต่อเนื่องจะต้องใช้อแดปเตอร์ครอบที่ปากลำกล้องปืน หน้าที่ของอแดปเตอร์เพื่อให้มีการคัดปลอกกระสุนออกจากรังเพลิงแล้วถบรรจุกระสุนเข้าไปใหม่ทำให้สามารถยิงต่อเนื่องได้ ซึ่งการทำงานของอแดปเตอร์จะครอบปลายลำกล้องปืนเพื่อไม่ให้พลังงานหรือแรงขับเวลาพุ่งออกไปหมดเมื่อทำการยิงไปแล้ว เพื่อทำให้ลูกเลื่อนของปืนวิ่งถอยหลังแล้วดึงปลอกกระสุนออกจากรังเพลิง และเมื่อลูกเลื่อนตีกลับเข้าตำแหน่งเดิมก็จะดันให้กระสุนนัดถัดไปเข้าสู่รังเพลิง ดังนั้นอแดปเตอร์จะเป็นตัวทำให้กระบวนการทำงานสมบูรณ์ แต่ถ้าไม่มีอแดปเตอร์ก็สามารถยิงกระสุนซ้อมรบได้แต่จะยิงได้ครั้งละ 1 นัด ถ้าต้องการยิงในนัดต่อไปต้องใช้มือดึงคันรั้งลูกเลื่อนถอยหลัง เพื่อทำการคัดปลอกกระสุนออกจากรังเพลิง และเมื่อปล่อยคันรั้งลูกเลื่อนตีกลับไปในตำแหน่งเดิมก็จะเป็นการบรรจุกระสุนนัดต่อไปเข้ารังเพลิง
อัยการได้มีการเปิดวิดีโอเหตุการณ์จากนายอนิรุทธิ์ ชวางกูร(พยานช่างภาพช่อง 7) เพื่อให้พ.ต.ท.กิตติศักดิ์ พิจารณาว่ามีการใช้อแดปเตอร์หรือไม่ เขายืนยันว่าในวิดีโอมีเจ้าหน้าที่ทหารที่ถือปืน M16 ไม่ได้ใช้อแดปเตอร์ แต่จากการดูวิดีโอไม่สามารถบอกได้ว่าใช้กระสุนจริง, กระสุนยางหรือกระสุนซ้อมรบแต่กระสุนยางนั้นจะใช้ในปืนลูกซองส่วนกระสุนซ้อมรบจะใช้ในปืนเล็กกล .223เท่านั้น เขาชี้แจงด้วยว่ากระสุน .223 ซึ่งเป็นพยานวัตถุ มีใช้ในราชการทหาร ตำรวจและกรมการปกครองเท่านั้น คนทั่วไปไม่สามารถมีได้
พ.ต.ท.กิตติศักดิ์ เบิกความว่าอาวุธปืนเล็กกลขนาด .223 นั้น โดยทั่วไปมีระยะหวังผลอยู่ที่ 300-400 เมตร แต่ถ้าเลยจากระยะหวังผลแล้วบางช่วงบางจังหวะก็ยังสามารถทำให้ถึงแก่ชีวิตได้เช่นกัน สำหรับกระสุนซ้อมรบและกระสุนยางนั้นไม่สามารถทำอันตรายถึงแก่ชีวิต โดยวัตถุประสงค์ของกระสุนซ้อมรบคือส่งเสียงสร้างจังหวะในการซ้อม ส่วนกระสุนยางมุ่งเน้นไปที่การปราบการจลาจลและยิงได้ไม่ถึง 100 เมตร จะอยู่ที่ราวๆ 50 เมตร
เขาได้ตอบการซักถามของทนายว่า ปืนเล็กกลขนาด .223 นั้นมีหลายยี่ห้อ เช่น HK, FN, M16และ M653 เป็นต้น ซึ่งปืนเหล่านี้ถูกผลิตเพื่อให้ใช้กับกระสุนขนาด .223 ได้ ส่วนเสียงของกระสุนจริงนั้นจะดังกว่ากระสุนซ้อมรบแต่เขาไม่สามารถยืนยันถึงความต่างได้
นัดสืบพยานวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2556
พยาน
- พ.ต.ท.สาธิต ภักดี พนักงานสอบสวน สน.ราษฎร์บูรณะ
- นพ.ปิยะ ปรีดียานนท์ แพทย์ประจำโรงพยาบาลมเหสักข์
พยานปากแรก พ.ต.ท.สาธิต ภักดี เบิกความว่าเดิมเขารับราชการอยู่ที่ สน. บางรักตั้งแต่ปี 2540- ธ.ค. 2555 มีหน้าที่สืบสวนสอบสวนคดีอาญาที่เกิดขึ้นในพื้นที่บางรัก แล้วจึงได้ย้ายไป สน.ราษฎร์บูรณะ 6 ธ.ค. 55 ซึ่งในช่วงที่ยังรับาราชการที่สน.บางรักอยู่นั้น ปลายเดือน ก.พ.55 นางวราฯษฐ์ อัศวสิริมั่นคงได้เข้าแจ้งความที่ สน.บางรัก กับ พ.ต.ท.สุรพล ล้วนประเสริฐ แจ้งความว่า เมื่อวันที่ 14 พ.ค.53 เวลา 12.20-13.06 น. นายฐานุทัศน์ได้ถูกกระสุนปืนจากเจ้าหน้าที่ทหารยิง โดยวันเกิดเหตุ เวลาประมาณเที่ยงเศษ นายฐานุทัศน์ นางวรานิษฐ์และลูกทั้งสองคนออกจากบ้านเพื่อที่จะไปห้างโลตัส พระราม 4 จึงได้ออกไปรอรถประจำทางที่ป้ายรถหน้าธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาลุมพินี ซึ่งใกล้ๆ กันนั้นมีโรงรับจำนำและร้านเซเว่นเอเลฟเวนอยู่ด้วย พวกเธอรอรถอยู่สักพักไม่เห็นว่ามีรถประจำทางมาเธอจึงชะโงกมองไปทางสะพานไทย-เบลเยี่ยม เห็นมีทหารอยู่บริเวณสะพาน เธอจึงคิดว่าที่รถไม่มาก็เนื่องมาจากมีทหารปิดถนนอยู่ จากนั้นได้มีเสียงปืนดังขึ้น นายฐานุทัศน์จึงให้นางวรานิษฐ์และลูกๆ หลบเข้าเซเว่นเอเลฟเว่น แต่เธอคิดว่ากลับเข้าบ้านเลยจะดีกว่าจึงได้บอกลูกๆ ให้กลับเข้าบ้านเลย เมื่อกลับถึงบ้านเวลาประมาณ 13.00 น. เศษ ทางโรงพยาบาลกล้วยน้ำไทได้โทรศัพท์มาแจ้งว่านายฐานุทัศน์ถูกยิง หลังจากทำการรักษาที่โรงพยาบาลโรงพยาบาลกล้วยน้ำไทจึงได้ย้ายไปโรงพยาบาลมเหสักข์
นายฐานุทัศน์ได้เสียชีวิตในวันที่ 23 ก.พ.55 เวลา 22.00 น.เศษ ศพของนายฐานุทัศน์ได้ถูกส่งไปที่สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิต แพทย์ได้ระบุสาเหตุการเสียชีวิตว่าระบบไหลเวียนโลหิตและหายใจล้มเหลว และพบหัวกระสุน พ.ต.ท.สุรพลจึงได้เสนอไปทางบก.น. 6 ทางบก.น.6ได้มีคำสั่ง 45/55 แต่งตั้งพนักงานสอบสวนเพื่อทำการสืบสวนสอบสวนในคดีนี้ซึ่งมีเขาเป็นหนึ่งในนั้น หัวกระสุนที่พบในศพได้นำส่งกองพิสูจน์หลักฐาน ผลการพิสูจน์พบว่าเป็นหัวกระสุนขนาด .223(5.56 มม.)
เขาเบิกความว่าตัวเองเป็นพนักงานสอบสวนคดีช.34/2553 นายบุญมี เริ่มสุข ซึ่งถูกยิงวันที่ 14 พ.ค.53 เวลา 16.00 น. จึงได้มีการอ้างพยานจากสำนวนการสอบสวนนายบุญมีเข้ามาในคดีของนายฐานุทัศน์ด้วยซึ่งทางพนักงานสอบสวนได้ลงความเห็นในกรณีการเสียชีวิตของนายบุญมีว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ทหาร
เขาได้เบิกความสรุปถึงการสอบสวนคดีนี้ว่า เมื่อวันที่ 12 มี.ค.53 กลุ่ม นปช.ได้มีการชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้า ถนนราชดำเนิน เพื่อเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภา วันที่ 3 เม.ย. ได้มีผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งแยกไปตั้งเวทีที่แยกราชประสงค์ วันที่ 7 เม.ย. นายอภิสิทธิ์ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ได้มีการออกคำสั่งพิเศษที่ 1/53 ตั้งศอฉ. และออกคำสั่งพิเศษที่ 2/53 แต่งตั้งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นผู้อำนวยการ ศอฉ. ศอฉ.ได้ออกคำสั่ง 1/2553 ให้หน่วยงานต่างๆ เข้ามาปฏิบัติงานที่ ศอฉ. วันที่ 10 เม.ย. ศอฉ. ได้สั่งการเจ้าหน้าที่ทหารให้ขอคืนพื้นที่ ได้เกิดการผลักดันและปะทะกันเกิดขึ้น มีประชาชนถูกยิงบาดเจ็บและเสียชีวิต ส่วนทหารได้ถูกระเบิดเสียชีวิต 14 เม.ย. ผู้ชุมนุมได้ย้ายการชุมนุมไปที่แยกราชประสงค์เพียงแห่งเดียว 26 เม.ย. มีคำสั่งเจ้าหน้าที่ตั้งด่านแข็งแรงรอบราชประสงค์
14 พ.ค. เวลา 11.00 น. ศอฉ.ได้มีคำสั่งทางวิทยุ ให้เข้าขอคืนพื้นที่ถนนพระราม 4 ตั้งแต่แยกวิทยุมุ่งไปทางทางด่วยนพระราม 4 โดยอยู่ในความรับผิดชอบของกองพันทหารม้าที่ 5 รักษาพระองค์ ซึ่งอยู่ในการบังคับบัญชาของผู้บังคับกองพัน พ.อ.เพชรพนม โพธิ์ชัย โดยเริ่มผลักดันผู้ชุมนุมในช่วงเที่ยง จากแยกวิทยุไปทางทิศทางด่วนพระราม 4 มาจนถึงปั๊มปตท. หน้าซอยปลูกจิต ซึ่งในช่วงนั้นยังไม่มีการชุมนุม ร้านค้ายังคงเปิดค้าขายตามปกติ จนช่วงเที่ยงเศษๆ ถึงมีผู้ชุมนุมมาเพิ่มขึ้นบริเวณใต้สะพานลอยหน้าธนาคารไทยพาณิชย์ ทางฝ่ายทหารได้มีการตั้งแถวหน้ากระดาน ใช้ปืนยิงทั้งยิงขึ้นฟ้าและเล็งใส่ผู้ชุมนุม โดยใช้ทั้งปืน M653 และปืนลูกซอง ซึ่งปืน M653 เป็นปืนที่ใช้กระสุนขนาด .223 เป็นปืน M16 รุ่นหนึ่ง ในขณะที่ทหารปฏิบัติการอยู่นั้น
มีพยานนักข่าวชื่อนายอนิรุทธิ์ ชวางกูรเดินตามหลังทหารเพื่อถ่ายวิดีโอ นายอุเชนทร์ เชียงเสน ซึ่งอาศัยอยู่ที่คอนโดในบริเวณนั้นซึ่งได้ถ่ายภาพเจ้าหน้าที่ทหารขณะกำลังทำการผลักดันผู้ชุมนุม และเขายังได้ไปสัมภาษณ์นายฐานุทัศน์ที่บ้านพร้อมกับน.ส.อัจฉรา อิงคามระธร ได้ถ่ายวิดีโอการสัมภาษณ์ไว้ จากการสัมภาษณ์ได้ความว่า ตอนที่นายฐานุทัศน์อยู่ในที่เกิดเหตุนั้น ได้มีเสียงปืนดังขึ้นเขาจึงหันหลังวิ่งหนีจากนั้นเขาก็หน้ามืดไป และได้มีพยานคนหนึ่งเข้าไปช่วยอุ้มนายฐานุทัศน์ไปขึ้นรถตู้เพื่อส่งโรงพยาบาลคือนายเอกสิทธิ์ วงศ์คำมา โดนนายเอกสิทธิ์ได้ให้การว่า ตอน 9.00 น. ได้ไปทำงานตกแต่งบ้านหลังหนึ่งในสาทร ซอย 1 แต่เนื่องจากมีการชุมนุมเจ้าของบ้านจึงให้เขากลับ เขาจึงเดินออกมาจนถึงบ่อนไก่และได้พบนายฐานุทัศน์ถูกยิงเขาจึงได้ช่วย
จากการตรวจสถานที่เกิดเหตุของพ.ต.ท.วัชรัศมิ์ เฉลิมสุขสันต์ พบรอยกระสุน 61 รอย มีทิศทางจากแยกวิทยุไปทางทางด่วนพระราม 4 ซึ่งมีรอยที่เกิดจากกระสุนขนาด .223(5.56 มม.) รวมอยู่ด้วย ซึ่งเป็นกระสุนขนาดเดียวกับที่พบในศพของนายฐานุทัศน์ มีรอยกระสุนไม่ทราบขนาดจำนวน 2 รอย มีทิศทางสวนกันคือจากทางด้านทางด่วนพระราม 4 ไปทางแยวิทยุ จากการตรวจสอบเฉพาะจุดที่นายฐานุทัศน์ถูกยิงพบรอยกระสุน 15 รอย มีรอยกระสุนที่เกิดจากกระสุนขนาด .223 อยู่ด้วย โดยมีทิศทางจากแยกวิทยุไปทิศทางทางด่วนพระราม 4
พนักงานสอบสวนได้รับปืน M653 จำนวน 40 กระบอกจากทางฝ่ายทหารเพื่อทำการตรวจสอบเปรียบเทียบกับหัวกระสุนของกลางที่พบในศพของนายฐานุทัศน์ ผลการตรวจพบว่าหัวกระสุนของกลางไม่ตรงกับปืนกระบอกใดเลย ส่วนสาเหตุอาจเนื่องมาจาก 1. ปืนที่ฝ่ายทหารนำมาให้ตรวจสอบเป็นปืนที่ทหารเลือกนำมาให้เองหลังเกิดเหตุการณ์เป็นเวลาปีเศษ ซึ่งอาจจะมีการเปลี่ยนลำกล้องไปแล้ว 2. ไม่มีหลักฐานยืนยันได้ว่าปืนที่นำมาส่งตรวจนั้นเป็นปืนกระบิกเดียวกับที่ใช้ในการปฏิบัติการในวันเกิดเหตุ 3. หลังมีการยิงไปแล้วปืนก็ถูกทำความสะอาดไปแล้ว ทำให้รอยบนหัวกระสุนที่ยิงเปรียบเทียบไม่ตรงกับหัวกระสุนของกลาง
จากการสอบสวนไม่พบว่าในวันเกิดเหตุมีเจ้าหน้าที่ทหารถูกยิงและไม่มีพยานคนใดพบเห็นผู้ชุมนุมมีอาวุธปืน พบเพียงหนังสติ๊ก พลุ ตะไล และจากการสืบสวนสอบสวนในการเสียชีวิตของนายบุญมี มีการสอบปากคำพ.อ.เพชรพนม ซึ่งได้ให้การว่าในการปฏิบัติการมีการใช้กระสุนซ้อมรบและกระสุนยางเท่านั้น แต่คำให้การแย้งกับการตรวจสถานที่เกิดเหตุซึ่งพบร่องรอยกระสุนจริงจากทางด้านแยกวิทยุไปทางด่วนพระราม 4
เขาซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนในทั้ง 2 คดี เขาจึงได้นำสำนวนสอบสวนเอกสารพยานหลักฐานจากคดีของนายบุญมีมาไว้ในสำนวนคดีนายฐานุทัศน์ด้วย
โดยปกติในการสืบสวนจะมีการประสานงานกับฝ่ายเจ้าหน้าที่ทหารโดยทางผู้บังคับบัญชาในกองบัญชาการตำรวจนครบาลจะทำหนังสือแจ้งกับทางฝ่ายผู้บังคับบัญชาทางฝ่ายทหารเพื่อมาให้ปากคำในการสอบสวน แต่ในการสืบสวนคดีนี้ไม่มีเจ้าหน้าที่ทหารมาให้ปากคำ เขาไม่ทราบว่าผู้บังคับบัญชาได้มีการทำหนังสือแจ้งไปหรือไม่
พยานปากสุดท้ายของการไต่สวน น.พ. ปิยะ ปรีดียานนท์ เบิกความว่า เขาได้ทำการรักษานายฐานุทัศน์ราวเดือนพฤศจิกายน 54 ซึ่งมารับการรักษาด้วยมีอาการไข้ ไอ เหนื่อยและซึมลง ซึ่งจากเวชระเบียนลงประวัติว่าเขาได้ถูกยิงที่ทรวงอก และเข้าโรงพยาบาล 2 ครั้ง ก่อนที่เขาจะได้ทำการรักษา ซึ่งเขาไม่ได้เป็นผู้ตรวจรักษา ซึ่งครั้งแรกประมาณเดือน มิ.ย.53 และอีกครั้งเดือนต.ค. 54 โดยในครั้งแรกเป็นการถูกยิงมีเลือดออกในช่องอก และมีการกดทับเส้นประสาท ทำให้ร่างกายครึ่งร่างเป็นอัมพาต ซึ่งการเป็นอัมพาตเกิดจากการที่ไขสันหลังช่วงระดับอกได้รับบาดเจ็บ
ครั้งที่ 2 เดือนต.ค. 54 มีอาการปอดอักเสบ และแขน 2 ข้างอ่อนแรง ในการรักษามีการตรวจร่างกายและ X-ray และเมื่อตรวจเพิ่มพบว่ากระดูกคอมีเลือดออกกดทับไขสันหลังซึ่งอยู่ในระดับคอเพิ่มด้วย แพทย์ได้ทำการรักษาด้วยการผ่าตัดเพื่อเอาเลือดออกที่กดทับออก แต่ผลการรักษายังคงมีอาการอ่อนแรงอยู่ จากนั้นได้กลับบ้านไป2 สัปดาห์ และกลับมาอีกครั้งด้วยอาการไข้ ไอและเหนื่อย เนื่องจากปอดอักเสบ โดยพบจากการตรวจร่างกายและ X-RAY ที่ปอด ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนที่ได้ทำการรักษาได้มีการติดเชื้อที่ปอดตอลดการรักษา ซึ่งปอดอักเสบก็คือการที่ปอดมีการติดเชื้อ
ซึ่งก่อนที่นายฐานุทัศน์จะมารักษาครั้งหลังสุดได้มีการรักษาอาการที่โรงพยาบาลกลางก่อนในช่วงวันที่ 12-19 พ.ย. ซึ่งได้มีการใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่ก่อนและน้ำในปอดแล้ว จึงถูกพามารักาตัวต่อที่โรงพยาบาลมเหสักข์ วันที่รับมานั้นมาด้วยปอดอักเสบ และมีโรคเก่าคือกระดูกคอทับเส้นประสาททำให้แขนขาอ่อนแรง แต่เขาไม่ทราบว่าเกี่ยวข้องย่างไรกับการที่ไขสันหลังช่วงอกได้รับบาดเจ็บอย่างไร เนื่องจากไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญและแพทย์ที่ทำการผ่าตัดก็ไม่ได้ลงบันทึกสาเหตุที่มีเลือดออกมากดทับเส้นประสาทที่ไขสันหลังระดับคอไว้ในเวชระเบียนด้วย ซึ่งการที่ไขสันหลังระดับคอมีการกดทับทำให้กล้ามเนื้อที่ช่วยในการหายใจอ่อนแรงเพราะเส้นประสาทไขสันหลังระดับคอเป็นตัวควบคุมกล้ามเนื้อกระบังลม การกดทับทำให้ไม่มีการสั่งงานและทำให้กระบังลมไม่ทำงาน
ก่อนที่นายฐานุทัศน์จะเสียชีวิตได้มีการให้ยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อปอดอักเสบ และใส่เครื่องช่วยหายใจ ซึ่งมีช่วงการติดเชื้อในปอดมีอาการดีขึ้นจึงได้ลองให้หายใจด้วยตนเองไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ แต่มีอาการเหนื่อยเนื่องจากกล้ามเนื้ออ่อนแรง ซึ่งพิสูจน์การที่นายฐานุทัศน์ไม่สามารถหายใจได้เองจากการนำเลือดมาตรวจแล้วพบว่ามีคาร์บอนไดออกไซด์อยู่มาก นอกจากอาการต่างๆ ที่กล่าวมามีเพียงอาการซึมเศร้าด้วยเท่านั้น
สาเหตุการเสียชีวิตของนายฐานุทัศน์คือปอดอักเสบจากการที่กล้ามเนื้ออ่อนแรงซึ่งเกิดจากกระดูกไขสันหลังระดับคอถูกดทับ และเขาเป็นผู้ออกหนังสือรับรองการตายว่าเสียชีวิตจากปอดอักเสบ และเขาได้อธิบายเพิ่มเติมถึงการที่ผลการชันสูตรลงว่าเสียชีวิตจากระบบไหลเวียนโลหิตและหายใจล้มเหลวว่า ส่วนระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลว คือหัวใจและหลอดเลือดล้มเหลวจะมีอาการชีพจรลดลงหัวใจล้มเหลว ซึ่งอาจจะเกิดจากโรคหัวใจหรือในอวัยวะอื่นอย่งรุนแรง ซึ่งเป็นอาการปกติก่อนตาย ปอดอักเสบนั้นเป็นโรคซึ่งหากเป็นมากๆ ก็จะมีภาวะหายใจล้มเหลว ซึ่งผู้ป่วยปอดอักเสบมี 10 % ที่เสียชีวิต ซึ่งเมื่อเสียชีวิตระบบไหลเวียนโลหิตก็ต้องล้มเหลว ในกรณีนี้ปอดอักเสบเป็นเหตุให้ระบบไหลเวียนโลหิตและหายใจล้มเหลวจึงเป็นสาเหตุแท้จริงที่ทำให้นายฐานุทัศน์เสียชีวิต ปอดอักเสบเป็นโรคทั่วไปที่คนอายุมากและภูมิต้านทานต่ำเป็น แต่ในกรณีนี้การเป็นกล้ามเนื้ออ่อนแรงทำให้เป็นปอดอักเสบ
นายฐานุทัศน์มีโรคประจำตัวคือมะเร็งท่อน้ำดีอยู่ก่อนแล้ว ตั้งแต่มิ.ย. 52 ซึ่งรับการรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ซึ่งจะมีอาการดีซ่าน ทางโรงพยาบาลจึงได้มีการใส่ลวดเพื่อขยายท่อน้ำดีเพื่อบรรเทาอาการ ทางโรงพยาบาลจุฬาฯได้ส่งตัวให้โรงพยาบาลมเหสักข์ทำการ X-RAY พบว่ามีเซลล์มะเร็งลงเหลือในตับซึ่งทางโรงพยาบาลจุฬาฯก็ได้ทราบผลการ X-RAY นี้ด้วย ซึ่งการลุกลามของมะเร็งนั้นสามารถคาดการณืได้ว่าจะมีการลุกลามแน่นอนแต่คาดเดาไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ ซึ่งบางรายอยู่ได้เป็นปีหรือหลายปีแล้วแต่สภาพคนไข้ ซึ่งมะเร็งในท่อน้ำดีอาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดหรือลุกลามไปอวัยวะสำคัญอื่นๆ ให้อวัยวะหยุดทำงาน แต่ในรายนี้ไม่ใช่สาเหตุทำให้เสียชีวิตและการตรวจศพแม้จะพบมะเร็งในตับแต่ไม่ได้มีภาวะตับวายจากมะเร็ง ไม่มีอาการดีซ่าน และไม่พบมะเร็งในอวัยวะอื่นๆ
ในกรณีทั่วไปหากไขสันหลังช่วงอกมีการกดทับก็จะทำให้ร่างกายส่วนต่ำกว่าลงไปเป็นอัมพาต และหากไขสันหลังระดับคอมีการกดทับก็จะทำให้แขนและกล้ามเนื้อกระบังลมอ่อนแรงและยังทำให้ช่วงต่ำลงไปกว่านั้นอ่อนแรงด้วยเช่นกันเนื่องจากสัญญาณจากสมองจะลงไปตามเส้นประสาทไขสันหลัง แต่การที่ไขสันหลังช่วงอกมีการกดทับก็อาจจะส่งผลต่อกล้ามเนื้อทรวงอกทำให้หายใจลำบากได้เช่นกัน แต่ในกรณีนี้เมื่อดูประวัติการรักษาการที่มีการบาดเจ็บที่ไขสันหลังช่วงอกไม่ได้ส่งผลต่อการหายใจเนื่องจากมีการหายใจได้ตามปกติมาตลอดก่อนที่จะมีการกดทับที่ไขสันหลังระดับคอ เขามีสันนิษฐานว่ามีปัญหาการหายใจตั้งแต่ช่วงที่มีอาการแขน 2 ข้างอ่อนแรงและมีเลือดออกที่คอแล้ว
ศาลนัดให้ทนายยื่นคำแถลงปิดคดีภายในวันที่ 1 มีนาคม และนัดฟังคำสั่งไต่สวนชันสูตรพลิกศพในวันที่ 27 มีนาคม 2556
นัดฟังคำสั่งวันที่ 27 มีนาคม 2556
ศาลอ่านคำสั่งสรุปได้ว่า พิเคราะห์พยานหลักฐานของผู้ร้องและภริยาผู้ตายแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ระหว่างวันที่ 12 มี.ค. – 19 พ.ค. 53 มีการชุมนุมของกลุ่ม นปช. เริ่มที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ เพื่อเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร และจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ แต่นายอภิสิทธิ์ปฏิเสธข้อเรียกร้อง นปช.จึงชุมนุมต่อเนื่องโดยมีประชาชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก และมีการขยายพื้นที่การชุมนุมไปยังสี่แยกราชประสงค์ ถนนราชดำริ ถนนเพลินจิต ถนนพระราม 1 และถนนพระราม 4
ต่อมาในวันที่ 7 เม.ย. รัฐบาลพิจารณาเห็นว่า การดำเนินการชุมนุมก่อให้เกิดความวุ่นวายและนำไปสู่ความไม่สงบเรียบร้อยภายในประเทศ นายอภิสิทธิ์จึงออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ พิเศษ 1/2553 จั้งตั้ง ศอฉ. โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เป็นผู้อำนวยการ และมีคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ พิเศษ 2/2553 แต่งตั้งผู้กำกับการปฏิบัติงาน หัวหน้าผู้รับผิดชอบ และพนักงานเจ้าหน้าที่ในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ต่อมา ศอฉ. ได้ออกข้อกำหนดห้ามกระทำการต่างๆ เพื่อให้เจ้าพนักงานสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 53 เวลา 12.00 น. เศษ นายฐานุทัศน์ อัศวสิริมั่นคง นางวรานิษฐ์ อัศวสิริมั่นคง ภรรยา และลูกทั้ง 2 คน ได้ออกจากบ้านในซอยบ่อนไก่ มารอรถที่ป้ายรถโดยสารประจำทาง ใกล้กับธนาคารไทยพาณิชย์สาขาลุมพินี ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ถนนพระราม 4 ได้มีเสียงคล้ายระเบิดและปืนดังขึ้นหลายนัด นางวรานิษฐ์และลูกจึงกลับเข้าบ้าน แต่นายฐานุทัศน์ยังคงอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุ
ขณะนั้นเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่แก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน มีอาวุธประจำกายคือ M653 และปืนลูกซอง ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาตามคำสั่งของ ศอฉ. ให้มากระชับพื้นที่ และผลักดันผู้ชุมนุมบนถนนพระราม 4 จากแยกวิทยุไปทางซอยบ่อนไก่ และทางพิเศษเฉลิมมหานคร(ทางด่วนพระราม 4) ผู้ชุมนุมใช้หนังสติ๊ก พลุและตะไล ยิงโต้ตอบเจ้าพนักงาน ขณะที่เจ้าพนักงานได้ใช้อาวุธปืนยิงขู่ผู้ชุมนุมเพื่อกระชับพื้นที่โดยยิงขู่ ทางด้านผู้ชุมนุมที่บริเวณซอยบ่อนไก่ ถนนพระราม 4 นายฐานุทัศน์กำลังจะกลับเข้าบ้านถูกยิงที่หลังด้านซ้าย และถูกส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท จากนั้นได้ย้ายไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลมเหสักข์จากการถูกยิงดังกล่าวทำให้ประสาทไขสันหลังของผู้ตายได้รับบาดเจ็บเป็นผลให้ขาทั้งสองข้างเป็นอัมพาต นายฐานุทัศน์รักษาตัวที่โรงพยาบาลมเหสักข์สลับการรักษาตัวที่บ้านครั้งสุดท้ายเข้า รับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลมเหสักข์ และถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 23 ก.พ. 55 ปัญหาต้องวินิจฉัยว่าเหตุและพฤติการณ์แห่งการตายของผู้ตายเป็นอย่างไร
นางวรานิษฐ์มีแพทย์ผู้ตรวจรักษานายฐานุทัศน์เป็นพยานยืนยันว่านายฐานุทัศน์ถึงแก่ความตายด้วยอาการปอดอักเสบเกิดจากกล้ามเนื้อในการหายใจอ่อนแรง เนื่องจากมีการกดทับไขสันหลังระดับคอ นอกจากนี้ผู้ตายเป็นโรคมะเร็งที่ท่อน้ำดี ซึ่งตรวจพบตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2552 และพบเซลล์มะเร็งที่หลอดเลือดในตับของผู้ตายก่อนเกิดเหตุคดีนี้ เมื่อรับฟังประกอบความเห็นของพยานผู้ร้องซึ่งเป็นแพทย์ผู้ตรวจศพว่าสาเหตุการตายของผู้ตายน่าจะเกิดจากมะเร็งเป็นหลัก ซึ่งพยานเชื่อว่าการตายเกิดจากการที่นายฐานุทัศน์ป่วยเป็นโรคมะเร็ง พยานทั้งสองปากเป็นคนกลางไม่มีส่วนได้เสียกับฝ่ายใดเชื่อว่าพยานทั้งสองปากเบิกความและให้ความเห็นไปตามความเป็นจริง นอกจากนี้แพทย์ผู้ตรวจรักษานายฐานุทัศน์ยังได้เบิกความว่า โดยทั่วไปการเป็นอัมพาตที่ขาทั้งสองข้างไม่เกี่ยวกับการเป็นอัมพาตที่แขนทั้งสองข้าง นายฐานุทัศน์มีเลือดออกที่กระดูกคอ ไม่ทราบว่าเกิดจากสาเหตุใด ในเดือนมิถุนายน 2553 หลังจากนายฐานุทัศน์ถูกยิง ผู้ตายไม่ได้มีปัญหาเรื่องการหายใจ การถูกยิงจึงไม่น่าเกี่ยวกับการทำให้ผู้ตายมีปัญหาการหายใจ จนกระทั่งเดือนตุลาคม 2554 ผู้ตายถึงเริ่มมีอาการอ่อนแรงของแขนทั้งสองข้าง เมื่อเอ็กซเรย์พบว่ากระดูกทับเส้นประสาทระดับคอ และมีเลือดออกที่กระดูกคอ หลังจากเข้ารับการผ่าตัดกระดูกคอแล้ว นายฐานุทัศน์สามารถกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ จึงน่าจะมีปัญหาเรื่องระบบการหายใจตั้งแต่เมื่อมีอาการแขนทั้งสองข้างอ่อนแรง และมีการกดทับไขสันหลังระดับคอ
ดังนี้ การที่นายฐานุทัศน์ถูกยิงแล้วมีผลให้เป็นอัมพาตที่ขาทั้งสองข้าง จึงมิได้เป็นผลโดยตรงที่ทำให้นายฐานุทัศน์เป็นอัมพาตที่แขนทั้งสองข้าง อีกทั้งทางไต่สวนไม่ปรากฎว่า การที่นายฐานุทัศน์มีกระดูกทับเส้นประสาทระดับคอ และมีเลือดออกที่กระดูกคอนั้นเกิดขึ้นเพราะสาเหตุใด และได้ความว่าหลังจากหลังจากถูกยิงผู้ตายยังมีอาการหายใจได้ดีมาตลอด เพิ่งมีปัญหาเรื่องระบบการหายใจตั้งแต่เมื่อมีอาการแขนทั้งสองข้างอ่อนแรงและมีการกดทับไขสันหลังระดับคอนอกจากนี้ยังได้ความว่า นายฐานุทัศน์ป่วยเป็นโรคปอดอักเสบและโรคมะเร็งในระยะลุกลามจนกระทั่งถึงแก่ความตาย แม้มีการพบหัวกระสุนปืนที่บริเวณสะบักด้านขวาก็ตาม แต่ได้ความจากแพทย์ผู้ตรวจศพว่าหัวกระสุนปืนดังกล่าวไม่มีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้ถึงแก่ความตาย และแม้ว่าหัวกระสุนปืนดังกล่าวจะอยู่ในร่างกายของนายฐานุทัศน์ตลอดไปก็ไม่เป็นเหตุทำให้ถึงแก่ความตาย เพราะตำแหน่งหัวกระสุนปืนอยู่ใต้ผิวหนังบริเวณสะบักซึ่งไม่มีอวัยวะสำคัญ จากข้อเท็จจริงดังที่วินิจฉัยมาข้างต้นฟังได้ว่า การที่นายฐานุทัศน์ถูกยิงมิใช่ผลโดยตรงที่ทำให้ถึงแก่ความตาย แต่สาเหตุที่ทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายเกิดจากปอดอักเสบ ระบบไหลเวียนโลหิตและการหายใจล้มเหลวจากโรคมะเร็งระยะลุกลาม
จึงมีคำสั่งว่าผู้ตายคือนายฐานุทัศน์ อัศวสิริมั่นคง ถึงแก่ความตายที่โรงพยาบาลมเหสักข์ แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 55 เวลา 22.35 น. เหตุและพฤติการณ์แห่งการตายของผู้ตายสืบเนื่องจากปอดอักเสบ ระบบไหลเวียนโลหิตและการหายใจล้มเหลวจากโรคมะเร็งระยะลุกลาม โดยมิใช่ผลโดยตรงจากการถูกยิง
อ่านคำสั่งศาลไต่สวนการตายของฐานุทัศน์ อัศวสิริมั่นคงฉบับเต็ม